เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2558 สถาบันองค์กรพัฒนาชุมชน (องค์กรมหาชน) หรือ พอช. และกรุงเทพมหานครฯ นำสื่อมวลชนหลายสำนักลงพื้นที่ชุมชนริมคลองที่อยู่ในแผนโครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กและประตูระบายน้ำคลองลาดพร้าว คลองบางบัว คลองถนน คลองสอง และคลองบางซื่อ รวมระยะทาง 15 กิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจพบว่า พื้นที่ตลอดแนวคลองส่วนมากยังมีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นทั้งแบบเช่าอาคารหลายชั้นจนถึงบ้านเดี่ยว และพบว่าจุดเชื่อมโยงระหว่างคลองลาดพร้าวและคลองแสนแสบนั้นยังมีเส้นทางสัญจรเรือที่แคบ มีปัญหาเรื่องขยะมูลฝอย การสัญจรไปมายังคงคงลำบาก อีกทั้งพบว่าวัสดุกีดขวางทางสัญจรหลายพื้นที่ ส่งผลให้เรือสำรวจพื้นที่คลองของคณะสื่อมวลชนประสบอุบัติเหตุชนตอไม้และเศษเหล็กจากการก่อสร้างจนเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ ส่งผลให้ช่างภาพข่าว 2 รายตกน้ำในคลอง และช่างภาพข่าว 1 รายเสียหลักล้มถูกราวจับเรือได้รับบาดเจ็บที่ร่างกาย
หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมการสำรวจคลอง ทาง พอช.ได้แถลงข่าวกรณีปัญหาการบุกรุกที่ดินริมคลอง ณ ชุมชนบางบัว กรุงเทพฯ โดยนายสยาม นนท์คำจันทร์ ผู้จัดการสำนักงานกรุงเทพฯ ปริมณฑลและตะวันออก พอช. กล่าวว่า จากข้อมูลการสำรวจแนวคลองในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นพบว่า ประชาชนที่อยู่อาศัยริมคลองปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในที่ดินของรัฐมีทั้งประชาชนผู้มีรายได้น้อย และเอกชนที่ครอบครองที่ดินผืนกว้าง ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลต้องการจัดระเบียบที่ดินคืน เพื่อการจัดการพื้นที่ริมคลอง และสร้างเขื่อนเพื่อแก้ปัญหาน้ำ โดยะต้องมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หลายแห่งแต่เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ส่วนมากยังคงมีวิถีชีวิตผูกพันกับคลอง ทาง พอช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้เร่งระดมความเห็นเพื่อแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นบางชุมชน เช่น ชุมชนบางบัว มีกรณีชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่แต่ไม่อยากย่ายออก ก็ขอความร่วมมือขยับออกจากพื้นที่คลอง แล้วสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ให้เล็กกว่าเดิม คนมีบ้านใหญ่ เนื้อที่มากมาแบ่งคนอื่น อยู่ในเนื้อที่ที่แคบลงเล็กน้อยส่วนคนไม่มีเลยก็ย้ายออกไปเช่าที่ดินระยะยาว ราคาถูก แต่ทั้งนี้มีปัญหาพบเอกชนรายใหญ่ที่รุกที่ดินรัฐนั้น จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายเพื่อเข้าไปพิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินเพิ่มเติม เพื่อจะได้รื้อถอนตามกระบวนการกฎหมายต่อไป ซึ่งในวันที่14 ธันวาคมนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำแห่งชาติ ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับกรณีการจัดการที่ดินริมคลอง ที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อสรรหาคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ ก่อนจะเริ่มทำประชาคมภาพรวม
ด้านนายจำรัส กลิ่นอุบล ประธานเครือข่ายชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อ กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ในส่วนของเขตห้วยขวางนั้นมีสมาชิกในเครือข่ายฯ 13 ชุมชน จำนวนกว่า 1,500 ครัวเรือน อยู่ระหว่างการประชุมหารือเพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในชุมชน โดยได้รับแนวทางปฏิบัติจาก พอช. เช่น เรียนรู้ตัวอย่างโครงการบ้านมั่นคง ก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ เริ่มต้นพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสีย พร้อมทั้งเริ่มพัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชนแก้ปัญหาการเงิน โดยมีชุมชนบางบังเป็นต้นแบบ แต่ปัญหาขณะนี้ คือ การเข้ามาของหน่วยงานหลายแห่งไม่มีความชัดเจนเรื่องแนวเขต เช่น กรณีสำนักระบายน้ำ ของ กทม.เข้ามาสำรวจพื้นที่ก็ยังไม่เคยระบุพิกัดชัดว่า จะวางแนวทางสร้างเขื่อนจากจุดใดสู่จุดใด รวมทั้งไม่มีการระบุชัดด้วยว่า บ้านหลังใดเริ่มต้นและสิ้นสุดพื้นที่บุกรุก ที่ควรจะรื้อถอนเพื่ออำนวยความสะดวกการสร้างเขื่อน ชาวบ้านหลายคนจึงไม่วางใจต่อแผนการ และยังไม่กล้าตัดสินใจวางระบบสินเชื่อเพื่อทำสัญญากู้เงินสร้างบ้านใหม่ เพราะกลัวสร้างไปแล้วจะสูญเปล่า เนื่องจากบางรายมีรายได้ต่อครัวเรือนน้อยและเป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ขณะที่ชาวบ้านที่มีความพร้อมด้านการเงินเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย กลับเริ่มต้นสร้างยังไม่ได้ เพราะความไม่ชัดเจนเรื่องแนวเขต จึงอยากร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมกันระดับใหญ่ให้ตกผลึกก่อน พอช.และกทม.ต้องวางแผนให้รอบคอบก่อนการเจรจากับชาวบ้าน
“ถามว่าเราพร้อมคืนพื้นที่มั๊ย เราก็พร้อมเสมอ เพราะเรารู้ว่าเรารุกที่ แต่มันรุกมานานแล้ว ถ้าให้เราออกไปแบบไม่มีความชัดเจน เรากลัวเราจะหาที่อยู่ไม่ได้ อยากให้รัฐหาแนวเขตชัดเจนก่อนว่า ตกลงต้องการความกว้างของคลองกี่เมตร 25 หรือ 30 หรือมากกว่านั้น เพราะแต่ละชุมชนตอนนี้มีการรุกที่คลองทำให้เกิดความกว้าง แคบแตกต่างกัน ถ้าชุมชนหนึ่งได้ที่ดินกว้างกว่าชุมชนหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมก็อาจจะไม่ยุติธรรมนัก อยากให้คุยกันให้ตกผลึกก่อนแล้วค่อยมาคุยกับชาวบ้านระดับชุมชน หรือประชาคมแบบรวมไปเลย” นายจำรัส กล่าว