เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559 มีความเคลื่อนไหวกรณีที่ชาวบ้านร่วมกันคัดค้านโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำศรีสองรัก(เขื่อนน้ำเลย) ของกรมชลประทาน ที่จะปิดกั้นแม่น้ำเลยในพื้นที่ตำบลปากตมและจะส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยกว่า 350 หลังคาเรือน และพื้นที่ทำกินกว่า 1,000 ไร่ รวมถึงกระทบต่อวิถีชุมชนของคนชาติพันธุ์ไทยพวนที่ชุมชนบ้านกลาง ซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในจังหวัดเลย โดยนางสรรัตน์ แก้วสา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านกลาง ตำบลปากตม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่มีแนวโน้มที่จะมีคำสั่งจากกรมชลประทานหรือหน่วยงายที่เกี่ยวข้องให้ชะลอโครงการออกไปก่อน ตามที่ตัวแทนชาวบ้านได้ไปยื่นหนังสือคัดค้านต่อกรมชลประทานเมื่อวันที่ 21 มกราคม
นางสรรัตน์กล่าวว่า ที่ได้มีการรับปากกับชาวบ้านว่าหากไม่ต้องการประตูน้ำ ก็จะไม่มีการก่อสร้างนั้น ช่วงที่ผ่านมากลับมีเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานเข้ามาสำรวจพื้นที่และระดับน้ำหลายครั้ง โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์มีตัวแทนกรมชลประทานเข้ามาชี้แจงโครงการในที่ประชุมของกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และบอกว่าหากต้องการให้การชะลอโครงการ จะต้องมีหนังสือจากผู้ว่าราชการจังหวัดเลยลงมาก่อน ชาวบ้านจึงได้ไปขอเข้าพบผู้ว่าฯ เพื่อยื่นหนังสือคัดค้าน แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้พบ และได้คำตอบกลับมาว่า กรมชลประทานกำลังจะลงไปชี้แจงประเด็นต่างๆ ต่อชาวบ้านเอง
นางสรรัตน์กล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ชาวบ้านไม่สบายใจอย่างมากและไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องกับใคร เนื่องจากกรมชลประทานก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าโครงการจะเดินหน้าต่อไป โดยมีการแอบส่งเจ้าหน้าที่ไปคุยโน้มน้าวให้ชาวบ้านยอมรับโครงการ
“กรมชลประทานส่งคนเข้ามาหาเราถึงบ้าน พยายามเกลี้ยกล่อมให้รับเขื่อนน้ำเลย เขาบอกกับชาวบ้านว่ารู้หรือไม่ในเดือนหน้างบประมาณจะลงมาและจะเดินหน้าก่อสร้างแล้ว หากชาวบ้านไม่เอาโครงการนี้ ครอบครัว ลูกเมียของเขาก็จะเดือนร้อนเหมือนกัน ต้องตกงาน มาบีบน้ำตา กราบไหว้ให้ชาวบ้านเอาเขื่อนน้ำเลยให้ได้” นางสรรัตน์ กล่าว
นางสรรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในพื้นที่กำลังมีความสับสนของข้อมูลและผลกระทบที่จะเกิดจากเขื่อนน้ำเลย โดยมีการเข้ามาให้ข้อมูลในบางหมู่บ้านว่า ชาวบ้านจะได้รับค่าเวนคืนสูงถึงไร่ละ 1 ล้านบาท หรือหากโครงการนี้เกิดขึ้นจะทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น รวมทั้งจะมีน้ำใช้ในการเกษตรตลอดทั้งปี หรือจะทำให้เกิดการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอนาคต จนทำให้ชาวบ้านบางคนที่หวังขายที่ดินมาบอกกับตนเองว่าอย่าไปคัดค้านเขื่อนน้ำเลย แต่ตนเองไม่อยากให้เชื่อข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเคยไปเจอตัวอย่างปัญหาของชาวบ้านในพื้นที่ภูทอก ที่ประสบปัญหาภัยแล้งทุกปี หรือทำนาขาดทุนทุกปี ทั้งที่มีระบบชลประทานเพื่อการเกษตร จึงเข้าไปดูแล้วพบปัญหาว่า ชาวบ้านที่ต้องการใช้น้ำจะต้องจ่ายค่าเปิดน้ำชั่วโมงละ 280 บาท ซึ่งกลับเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและไม่ได้เป็นการช่วยเหลือเรื่องน้ำกับชาวบ้านเลย จึงอยากให้ชาวบ้านและรัฐบาลมองถึงผลกระทบด้านอื่นด้วย
“ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจะจะต้องย้ายไปที่ไหน จะไปอยู่กันอย่างไร หากยังไม่มีการชะลอโครงการนี้ ก็อาจตัดสินใจเข้ากรุงเทพอีกครั้ง เพื่อไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” นางสรรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก จังหวัดเลย ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 – 2564) คือ 1.ดำเนินการเตรียมความพร้อมโครงการและสำรวจปักหลักเขต ในปี พ.ศ. 2559 2. ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) 3. ดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำและระบบท่อส่งน้ำ ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2562-2564) ภายใต้งบประมาณ 5 พันล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 01/10/2559 จนถึงวันที่ 30/09/2564
