เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2559 ผู้สื่อข่าวพร้อมด้วยผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านต้าน้ำอิง ตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่สำรวจแปลงปลูกกล้วยหอมของบริษัท Hongtar International Thailand จำกัด ซึ่งเป็นของนักธุรกิจชาวจีนที่เข้ามาเช่าพื้นที่ริมแม่น้ำอิงบริเวณวังดินแดง ตำบลเม็งราย อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย จำนวน 2,700 ไร่ ทำการปลูกกล้วยหอมไปแล้วกว่า 1,000 ไร่ แต่เนื่องจากในปีนี้เกิดสภาวะภัยแล้ง ทำให้น้ำในแม่น้ำอิงแห้งกว่าทุกปี ทางบริษัทHongtar International Thailand ได้ทำการขุดบ่อในแม่น้ำอิงและสูบน้ำขึ้นไปใช้รดกล้วยหอม ทำให้ชาวบ้านร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม จนในที่สุดทางอำเภอได้มีมติห้ามบริษัทน้ำในแม่น้ำอิงไปใช้ในสวนกล้วย
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าบริเวณที่ทางบริษัทขุดเจาะเพื่อสูบน้ำจากแม่น้ำอิงนั้น เป็นบริเวณท้องน้ำที่ลึกที่สุดของแม่น้ำอิง และอยู่ไม่ไกลจากเขตสงวนพันธุ์ปลาของชุมชน ทั้งนี้ได้มีการถอดหัวสูบน้ำทั้ง 4 จุดออกไปแล้ว แต่ยังเหลือท่อน้ำขนาด 6 นิ้วที่ลำเลียงน้ำไปยังสวนกล้วย อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำยังไม่เป็นที่ไว้ใจของชุมชน จึงได้มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามไปสังเกตการณ์เป็นระยะ ขณะเดียวกันพื้นดินบริเวณสวนกล้วยยังคงชุ่มชื้นเนื่องจากภายในบริเวณดังกล่าวยังมีน้ำสำรองที่บริษัทขุดบ่อเอาไว้ โดยต้นกล้วยหอมเกือบทั้งหมดอยู่ในช่วงที่กำลังออกเครือและบางส่วนกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งน่าสังเกตว่า กล้วยหอมแต่ละเครือมีขนาดใหญ่โดยจำนวนหวีมากราว 8-10 หวี เนื่องจากมีลำต้นที่อุดมสมบูรณ์มากโดยมีใบสดเขียวขจีไปทั้งสวน โดยเมื่อเดินเข้าไปกลางสวนกล้วยได้กลิ่นสารเคมีและมีการทิ้งขวดยากำจัดศัตรูพืชกองไว้ในบางจุด นอกจากแปลงกล้วยที่กำลังออกผลแล้ว ยังมีแปลงเพาะปลูกกล้วยอีกผืนใหญ่ที่เพิ่งปลูกและต้องการน้ำสม่ำเสมอ
ด้านนายเลื่อน ผิวผ่อง กำนันตำบลต้า อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่หนักกว่าปีก่อนๆโดยน้ำในแม่น้ำอิงแห้งลงไปมาก โดยเมื่อวันที่ 27 ที่ผ่านมาชาวบ้านได้ร่วมกันซ่อมแซมฝายเพื่อกักเก็บน้ำไปใช้ และทุกๆวันจะมีรถมาสูบน้ำเพื่อไปใช้ทำน้ำประปาเพราะแหล่งน้ำจืดเดิมแห้งหมด แต่ที่ผ่านมาสวนกล้วยกลับสูบน้ำไปใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้น้ำในแม่น้ำอิงยื่งแห้งหนักขึ้นไปอีก ในที่สุดชาวบ้านจึงได้ร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมและนายอำเภอได้เชิญทุกฝ่าย มาร่วมกันประชุมซึ่งที่ประชุมมีมติห้ามบริษัทฯสูบน้ำในแม่น้ำอิงขึ้นไปใช้
“ทีแรกเราก็ไม่รู้ว่าทำไมน้ำในแม่น้ำอิงถึงแห้งขนาดหนัก ก็เลยช่วยกันไปไล่ดูตามจุดต่างๆ เราถึงได้รู้ว่าทางสวนกล้วยหอมสูบน้ำไปใช้อย่างหนัก ตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่ามีการปลูกกล้วยหอม ชาวบ้านก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าคงเหมือนปลูกกล้วยทั่วๆไป จนกระทั่งมีคนมาเล่าว่าจีนไปลงทุนปลูกที่ฝั่งลาวกันมาก ใช้ยากันขนาดหนักจนกระทั่งบางแขวงห้ามปลูกกล้วยหอมอีก เขาเลยมาลงทุนที่นี่ ถือว่าเป็นแห่งแรกของไทยที่จีนมาปลูกกล้วยหอม เราก็ไม่รู้ว่าทุกวันนี้มีสารเคมีไหลลงแม่น้ำอิงหรือไม่ เพราะไม่มีหน่วยงานภาครัฐมาตรวจสอบ แต่ตัวแทนบริษัทบอกในที่ประชุมว่าไม่ได้ใช้ยาเยอะเหมือนฝั่งลาว เพราะฝั่งลาวแมลงเยอะ”นายเลื่อนกล่าว
นายเลื่อนกล่าวว่า พื้นที่ที่ปลูกกล้วยครั้งนี้แม้อยู่อีกอำเภอหนึ่งนอกเขตความรับผิดชอบของตน แต่ชาวบ้านบ้านต้าเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ที่สำคัญคืออยู่ท้ายน้ำต่อจากสวนกล้วย เพราะฉะนั้นจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันตรวจสอบเพราะเท่าที่ฟังในที่ประชุมฝ่ายสาธารณะก็เล่าให้ฟังว่าพบผู้ที่ป่วยมีอาการระคายผิวและมือเป็นเชื้อราหลายรายโดยส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างของสวนกล้วยหอม
“ต้นกล้วยตายกับคนกำลังจะตายตรงไหนสำคัญกว่ากัน เราสูบน้ำไปใช้ในครัวเรือนทั้งสิ้น แต่เขาสูบขึ้นไปใช้รดต้นกล้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูก ตอนนี้เห็นว่าจะขุดบ่อบาดาลสูบน้ำมาใช้รดกล้วยอีก เราก็ไม่เห็นด้วย เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านก็ได้อาศัยบ่อบาดาล หากเขาสูบไปใช้ก็เท่ากับดึงน้ำใต้ดินจากชาวบ้านไปอีก การขุดบ่อบาดาลจึงควรมีการควบคุม”นายเลื่อนกล่าว