
นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีได้ออกมาเปิดเผยว่า ตัวเลขของผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในเมืองทวาย เขตตะนาวศรีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานเด็กผู้หญิงถูกข่มขืนหลายราย แต่ไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากผู้ก่อเหตุจ่ายเงินชดเชยให้กับทางครอบครัวของเหยื่อ
นางติตา มน สมาชิกจากสหภาพสตรีทวาย (Dawei Women’s Union) เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนของปีนี้ ได้รับรายงานคดีข่มขืนเด็กหญิงถึง 6 คดี และมีการแจ้งดำเนินคดีไว้ที่สถานีตำรวจ อย่างไรก็ตาม ผู้กระทำความผิดไม่ได้ถูกนำตัวไปขึ้นศาลแต่อย่างใด เนื่องจากทางผู้ก่อเหตุได้มอบเงินชดเชยให้กับทางครอบครัวของผู้เสียหาย จึงไม่มีการดำเนินคดีต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งทางครอบครัวของเหยื่อก็ไม่มีความรู้ว่า สามารถดำเนินการเอาผิดได้ เนื่องจากไม่มีความรู้และอยู่ในเขตพื้นที่ชนบท
ซึ่งนางติตา มน ได้ยกตัวอย่างกรณีเหตุข่มขืนที่เกิดขึ้นล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีชายวัย 60 ปี ข่มขืนเด็กอายุ 14 ปี ที่มาจากเขตชนบท แต่เมื่อชายคนดังกล่าวได้มอบเงินจำนวน 1.4 ล้านจั้ต (ประมาณ 41,630 บาท)ให้ทางครอบครัว จึงไม่มีการดำเนินเอาผิด “เด็กหญิงได้รับเงินเพียง 900,000 จั้ต (ประมาณ 26,700 บาท) เท่านั้น ที่เหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บไว้” นางติตา มน กล่าว
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ ทางกลุ่มสตรีในพื้นที่ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้ชายคิดว่า พวกเขาสามารถก่อเหตุละเมิดทางเพศต่อผู้หญิงยังไงก็ได้ ตราบเท่าที่พวกเขามีเงินจ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงและเด็ก เรารู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้หญิงอย่างเราจะมีความปลอดภัย” นางซูซูทวย เลขาธิการจากสหภาพสตรีทวาย กล่าว
ทั้งนี้ สอดคล้องกับความเห็นของนายโรเบิร์ต ซานอ่อง ทนายความในพื้นที่แสดงความเห็นว่า ควรมีการดำเนินคดีลงโทษอย่างหนักต่อผู้ที่กระทำความผิด เนื่องจากตัวเลขของเด็กหญิงที่ถูกละเมิดทางเพศสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเขาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวว่า ต้องการให้ลงโทษประหารชีวิตผู้ที่กระทำผิดในคดีข่มขืน ในปี 2556 ทาง ส.ส.พม่าได้มีการเสนอกฎหมายลงโทษดังกล่าว แต่ก็ถูกปฏิเสธจากรัฐสภาพม่า
ที่มา Irrawaddy
แปลและเรียงเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ