เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2559 พ.ต.อ.นิพล เหมสลาหมาด รอง ผบก.ตร.ภ.จว.สตูล ได้ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ หมู่ที่ 7 ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล ภายหลังทราบเหตุทำร้ายร่างกายชาวเล บนเกาะหลีเป๊ะ ขณะที่ชาวเลจำนวนมากเดินทางมารอ ติดตามการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ โดย พ.ต.อ.นิพล กล่าวว่า กรณีเหตุทำร้ายร่างกาย หลังผู้เสียหายคือ นายกล้าหาญ หาญทะเล อายุ 47 ปี และนายตา หาญทะเล อายุ 42 ปี ส่วนฝ่ายผู้ต้องหาคือ นายเรวัตร เดชสม อายุ 37 ปี ชาวอ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง นายสมนึก ศรีศิริ อายุ 60 ปี ชาวอ.ควนขนุน จ.พัทลุง และนายเจริญ จันทร์ช่วย อายุ 50 ปี ชาวอ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ให้การว่าได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจริง
พ.ต.อ.นิพลกล่าวว่า เป็นการทำร้ายร่างกาย ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ และยินยอมให้ พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับ และชดเชยค่าสินไหมทดแทน ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบปรับและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีสื่อออนไลน์ระบุการทำหน้าที่ของตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จริงหรือไม่ พ.ต.อ.นิพลกล่าวว่า ได้เรียกสอบถามข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายแล้ว โดยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 นายสัญญา สิริฮัน ตัวแทนชาวบ้านให้การว่า เมื่อเดินทางมาถึงสถานีตำรวจแล้วได้แจ้งให้กับพนักงานสอบสวนที่เข้าเวร ในขณะนั้นคือร.ต.อ.โฆษิต เชาว์โกวิทกุล พนักงานสอบสวน ได้ดำเนินการสอบสวนปากคำ และได้ดำเนินการสอบปากคำผู้เสียหายแต่ในระหว่างที่พนักงานสอบสวนทำงาน ได้มีชาวบ้านบางส่วนไม่พอใจ และเข้าใจผิดว่าทางพนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินการใดๆ จึงพากันไปแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย ทั้งนี้ขอยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
นายกล้าหาญ หาญทะเล ผู้เสียหายกล่าวว่า ในการเจรจาวันนี้ตนได้ให้ปากคำกับตำรวจเพิ่มเติมว่า ตนถูกคนร้ายตบหน้าถึง 2 ครั้ง หลังจากคนร้ายตบหน้านายตา หาญทะเล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวตำรวจได้บันทึกไว้และฝ่ายคู่กรณีบอกกับตำรวจว่า ขอจ่ายค่าเสียหายให้ชาวเลคนละ 3,000 บาท แต่ตนบอกว่าไม่ขอรับส่วนนายตา กับนายเล็กหาญทะเลรับหรือเปล่าไม่แน่ใจ ต่อมาเมื่อการเจรจาผ่านไปสักระยะตำรวจจึงสอบสวนคู่กรณีเพิ่มเติมและระบุว่านี่เป็นคดีทะเลาะวิวาท ให้ลงชื่อรับรองในรอบไกล่เกลี่ยโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่เกิดเหตุเช่นนี้อีก ซึ่งตนและพวกยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว เพราะมองว่าไม่อยากให้คดีความใหญ่โต และเป็นเรื่องราวต้องเจรจาในชั้นศาล
“ผมไม่มีเงิน จะไปชั้นศาลคงไม่ไหว ถ้าเอาเรื่องต่อ ไม่รู้จะแพ้ หรือชนะ เขาเสนอมาแบบนี้ ผมก็เอาเท่านี้ แต่ไม่ได้อยากได้เงินของพวกเขาเลย แม้แต่บาทเดียว ผมแค่ไม่อยากให้ใครเจ็บ และเกิดเรื่องแบบนี้อีก ผมบอกกับตำรวจว่าในวันเกิดเหตุ ผมเดินผ่านไปพอดี ผมไปถามนายตา ว่าเกิดอะไรขึ้น นายตาบอกว่า เขาไม่ให้ทำห้องน้ำ ผมเลยบอกว่า ไม่ให้ทำแล้วไปใช้ที่ไหน จากนั้นใครก็ไม่รู้ตะโกนมากลางวงว่า ไปขี้บ้านแม่มึงสิ ใช้คำหยาบกับผมมากๆ ผมเลยบอกว่าพูดงี้ได้ยังไง ผมยอมรับว่าผมก็พูดจาไม่ดี ทำให้ชายทั้ง 5 คน พยายามมาหาเรื่องทะเลาะแรงขึ้น โดยอีก3 คนเดินมาทำร้ายพวกผม ผมก็ต้องสู้ ส่วนอีก 2 คน ผมมองไม่ถนัดว่าเป็นใคร สายตาผมไม่ดี เขาอยู่ในแคมป์พัก เขาก็ตะโกนว่า มึงอยากมีเรื่องเหรอ มึงจะเอามีดหรือเอาปืน จากนั้นก็หนีกันวุ่น เพราะกลัวตายกัน ไม่รู้เขามีจริงไหม แต่เขาขู่แบบนั้น แล้วก็มีคนหนึ่งขู่ด้วยว่า ขึ้นไปปากบาราเมื่อไหร่มึงตาย ผมกลัวไง ผมก็เล่าตรงๆกับตำรวจ แต่เพราะผมไม่อยากมีเรื่องเลยยอมความไปง่ายๆ และไม่เอาเงินเขา เราก็จ่ายค่าปรับค่าทะเลาะไป ผมไม่ได้เจ็บอะไร” นายกล้าหาญ กล่าว
สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2559 เวลา ประมาณ 19.00 น. โดยนายเรวัตร นายเดชสม นายสมนึก และนายเจริญ มาที่เกิดเหตุโดยนายเรวัตร ได้อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าว เพื่อจะดำเนินการสร้างรีสอร์ท และมีการโต้เถียงเรื่องที่ชาวบ้านสร้างห้องน้ำในพื้นที่เกิดเหตุจนเกิดมีปากเสียงไม่พอใจกันถึงขั้นทำร้ายร่างกาย หลังเกิดเหตุในตาและนายกล้าหาญ แจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งไม่ได้มีบาดแผลหรือรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย แค่แจ้งว่าแสบใบหน้า
ทั้งนี้เจ้าพนักงานสอบสวนได้เรียกนายเรวัตรกับพวก มาพบที่สถานีตำรวจโดยนายเรวัตร และพวกรับสารภาพว่าทำร้ายร่างกายจริง ซึ่งเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจเบื้องต้นคู่กรณียินยอมให้พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับในชั้นการสอบสวน 1,000 บาท
———————–