กระทรวงด้านเกษตรและฝ่ายชลประทานของพม่า ย้ำชัด รัฐบาล NLD ไม่มีนโยบายสร้างเขื่อนใหม่เพิ่ม พร้อมตัดสินใจที่จะลดงบประมาณด้านการสร้างเขื่อนลงครึ่งหนึ่ง ชี้ตลอดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เกษตรกรในประเทศยังคงต้องพึ่งน้ำทำนาจากฝนเท่านั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากน้ำในเขื่อนที่มีอยู่แต่อย่างใด
มีรายงานว่า ระหว่างที่พบกับสื่อมวลชนที่กรุงเนปีดอว์ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดร.ทุนวิน รองรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและชลประทานของพม่าได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ระหว่างการบริหารประเทศของรัฐบาล NLD นั้นจะไม่มีการสร้างเขื่อนแห่งใหม่ ระบุเพิ่มแติมว่า นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1988 ที่เริ่มก่อสร้างเขื่อนเป็นต้นมา ประเทศต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการสร้างเขื่อน แต่กลับพบว่า เกษตรกรไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเขื่อนที่มีอยู่ในประเทศแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น แม้มีเขื่อนก็สามารถพึ่งพาน้ำจากเขื่อนผลิตข้าวได้เพียง 10 % เท่านั้น และไม่ได้ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ผลผลิตข้าว 90 % กลับยังต้องพึ่งพาจากน้ำฝน
ดร.ทุนวิน กล่าวว่า การสร้างเขื่อนไม่ได้ช่วยให้ประเทศพัฒนาขึ้นมาแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างเช่นในปี ค.ศ. 1992 เมื่อยังไม่มีเขื่อน พม่าส่งออกข้าวให้ประเทศจีนจำนวน 1.5 ล้านตัน ในปี 2558 ที่ผ่านมาก็พบตัวเลขการส่งออกข้าวไม่แตกต่างกัน จึงเชื่อว่า การสร้างเขื่อนไม่ได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นแต่อย่างใด ขณะที่พบอีกว่า มีพื้นที่เพียง 5 ล้านไร่เท่านั้นที่ใช้น้ำจากเขื่อนปลูกข่าว แต่กลับพบว่า มีพื้นที่มากกว่า 37 ล้านไร่ที่ใช้น้ำฝนปลูกข้าว การทำนาในฤดูฝนจึงไม่มีการใช้น้ำจากเขื่อน ขณะที่ในฤดูแล้ง ประชาชนก็ถูกห้ามไม่ให้ใช้น้ำจากเขื่อนเช่นเดียวกัน เนื่องจากต้องเก็บน้ำไว้สำหรับกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาดูงาน และยังพบว่า ที่ผ่านมา ประชาชนบางส่วนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สามารถเรียกร้องขอใช้น้ำเพื่อใช้ในด้านเกษตรกรรมได้ ดร.ทุนวินกล่าว
จากการเปิดเผยของ ดร.ทุนวิน รัฐบาล NLD ยังมีแผนที่จะลดงบประมาณในการสร้างและดูแลเขื่อนลงครึ่งหนึ่ง โดยจะเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 – 2560 นี้เป็นต้นไป และขณะนี้รัฐบาล NLD ได้มีคำสั่งให้ระบายน้ำในเขื่อนให้กับเกษตรกรแล้ว โดยรัฐบาล NLD ยังมีแผนที่จะหาวิธีค้นคว้าวิจัยผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเองในอนาคต เพราะการซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากจีนมีราคาสูง ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน
ในยุคของรัฐบาลเต็งเส่งนั้น พม่ามีแผนที่จะสร้างเขื่อนแห่งใหม่หลายแห่งในประเทศ โดยมีบริษัทนักลงทุนจากประเทศจีนและไทย โดยเฉพาะการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน ที่ไหลผ่านในหลายรัฐอย่างรัฐกะเหรี่ยง รัฐคะเรนนี รัฐฉานและรัฐมอญ แม่น้ำสาละวิน หรือ น่ำคง ในภาษาไทใหญ่ยังเป็นแม่น้ำที่ยังไหลอิสระ เขื่อนที่สร้างความกังวลให้กับชาวบ้านและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม คือเขื่อนท่าซาง หรือเขื่อนเมืองโต๋น ซึ่งหากสร้างแล้วเสร็จจะทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่เท่ากับประเทศสิงโปร์ โดยเฉพาะชุมชนชาวไทใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ขณะที่ไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อนจะถูกนำไปขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน
ที่มา Irrawaddy/Tai Freedom
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ
