วานนี้ (13 กรกฎาคม) เวลา 18.30 -21.00 น นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม)และประธานประธานอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรได้ลงพื้นที่พบตัวแทนภาคประชาชนชุมชนตำบลแสมสารกว่า 500 คน ณ วัดช่องแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากกลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกรณี ฐานทัพเรือสัตหีบ ประกาศขึ้นทะเบียนที่ดินในตำบลแสมสาร เป็นที่ราชพัสดุ และเตรียมปรับนโยบายในพื้นที่เพื่อให้ประชาชนเช่าอาศัย และพื้นที่ทำกิน
นายสเน่ห์ พิทักษ์กรณ์ อายุ 80 ปี อดีต สมาชิกสภาจังหวัด ( สจ.) จังหวัดชลบุรี และอดีตกำนันตำบลแสมสารนำเสนอข้อมูลต่อ กสม. ว่า จริงแล้วเรื่องการต่อสู้ที่ดินระหว่างประชาชนกับฐานทัพเรือมีมานานแล้ว แต่มาในปีนี้ฐานทัพเรือสัตหีบรุกหนักในการลงพื้นที่ทำรังวัด ประกาศเขตที่ดินราชพัสดุและเริ่มมีการออกคำสั่งให้ชาวบ้านไปลงชื่อเพื่อขอเช่าพื้นที่ โดยเร่งดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ซึ่งมีประชาชนบางส่วนเข้าไปลงชื่อ จากนั้นทหารเรือในพื้นที่ก็เริ่มดำเนินการติดป้ายกันเขต ทั้งที่ก่อนหน้านั้นชาวบ้านได้เจรจาแล้วและอยู่ระหว่างกระบวนการขอยื่นพิสูจน์สิทธิ
นายสเน่ห์กล่าวว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ครอบครองที่ดินทำกินที่ถูกต้องในแบบเอกสาร ส.ค.1 ก่อนปี พ.ศ.2479 แต่ทหารเรือกลับไม่รอผลการพิสูจน์สิทธิ์ พร้อมทั้งแจ้งความดำเนินคดีต่อชาวบ้าน 7 รายข้อหาบุกรุกที่ดินราชพัสดุ และรุกล้ำน่านน้ำ ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ จึงได้ร้องเรียนไปยังศูนย์ดำรงธรรม และร้องเรียนหน่วยงานรัฐอีกหลายแห่ง แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดำเนินการ ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า 6,000 คน จึงได้ลงชื่อเพื่อร้องเรียน กสม. เพื่อขอให้เข้ามาตรวจสอบการดำเนินการของทหารเรือและประสานงานกับทหารเรือเพื่อหยุดคำสั่งประกาศเขตราชพัสดุ จนกว่ากระบวนการพิสูจน์สิทธิ์จะเสร็จสิ้น
นายเสน่ห์ กล่าวว่า ทหารเขามักอ้างว่าเราเป็นทุนใหญ่ที่สร้างรีสอร์ท ที่พัก ร้านอาหาร ทั้งที่เราเป็นคนเก่าแก่และชุมชนแสมสารมีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งปัจจุบันชาวบ้านมีอาชีพปลูกยูคาลิปตัส ข้าว มันสำปะหลัง และพืชผลไม้อื่น แต่บางส่วนปรับตัวให้เขากับการท่องเที่ยวจึงได้หันมาทำธุรกิจเล็กๆ ที่เป็นรายได้ระดับท้องถิ่นและมีการรวมกองทุนส่วนกลางเพื่อพัฒนาชุมชนต่อเนื่อง
“ เอะอะก็หาว่าเราเป็นนายทุน ทั้งที่ชาวบ้านครอบครองเฉลี่ยครัวเรือนละ 5-20 ไร่ บางวันก็ยิงปืนขึ้นฟ้า จนชาวบ้านเก็บปลอกกระสุนได้จำนวนมาก แต่ทหารอ้างว่าซ้อมรบ บางวันก็ถือปืนมาลาดตระเวน ในชุมชนทั้งที่ชุมชนอยู่อย่างสงบ ทำอย่างนี้เท่ากับว่าพยายามสร้างความไม่สงบให้เราอยู่ไม่ได้” นายเสน่ห์ กล่าว
นายสมโภชน์ สวัสดี อายุ 64 ปี ตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า จริงๆแล้วชาวบ้านเคยโดนอพยพมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนมาตั้งชุมชนในปัจจุบัน เดิมที่ในแผนที่มณฑลปราจีณ เรามีที่ดินกว่า 1,900 ไร่ ที่ดินเพื่อทำประโยชน์นั้นมีราว 1,700 ไร่ ส่วนอีก 200ไร่ ปัจจุบันเป็นที่ในความดูแลของฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งเดิมก่อนตั้วงฐานทัพนั้น ชาวบ้านเคยอยู่ทำประมงพื้นบ้านมานาน แต่ถูกอพยพออก เมื่อราว 30 ปี ที่แล้ว เนื่องจากฐานทัพเรือต้องการสร้างพื้นที่เพื่อดำเนินทางราชการ และปัจจุบันกลายเป็นฐานทัพเรือถาวร ที่ชาวบ้านไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือใช้ที่ดินอะไร เพราะเห็นว่าเป็นความปรารถนาของราชการ ชาวบ้านเองมีสัมพันธ์ที่ดีกับทหารเรือมาโดยตลอด จึงยอมสละที่ดิน สค.1 ให้ และชาวบ้านบางส่วนได้รับค่าชดเชยในทรัพย์สินเป็นค่าต้น ไม้ ค่ารื้อถอน ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านรายใดไม่ยอม ทหารก็มีการเริ่มวางแผนฝึกรบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ฐานทัพนั้นมีสิ่งรบกวนตลอดเวลา จนชาวบ้านยอมออกทั้งที่ชุมชนเดิมสงบดี
นายสมโภชน์กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ ทหารเข้ามาแบ่งโซนเป็น 3 โซน โดยโซนที่ 1 ปล่อยให้เช่าในราคาตารางวาละ 50 สตางค์ โซนที่ 2 เอาคืนเป็นที่ราชพัสดุเพื่อใช้ในราชการ โซนที่3 ให้เช่าแต่ไม่บอกราคา ซึ่งโซนสุดท้ายนี้ชาวบ้านกังวลว่าเป็นการเปิดโซนธรุกิจ และพาณิชย์ เนื่องจากช่วง2-3 ปี นี้ ชาวบ้านพบว่า พฤติกรรมเรือเฟอรี่ที่ดำเนินการโดยครอบครัวทหารบางรายได้เริ่มให้บริการต่างชาติ และรับลูกค้าเกินจำนวนที่กำหนด และไม่แน่ใจว่าการขึ้นทะเบียนราชพัสดุนั้นจะโปร่งใสหรือไม่ หรือเป็นไปเพื่อประโยชน์บางกลุ่ม
นางเตือนใจ กล่าวว่า ภายหลังรับเรื่องร้องเรียนแล้ว วันนี้ (14กรกฎาคม) ตนจะส่งจดหมายถึงผู้บังคับบัญชาฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อขอความร่วมมือเรื่องชะลอการดำเนินคดี และขอความร่วมมือกรณีการใช้อาวุธปืนในชุมชน เพราะเข้าใจว่าชาวบ้านอาจจะกังวล แต่ยังไม่ทราบว่าเจตนาจริงของทหารในการยิงปืนคืออะไร ส่วนกรณีการเจรจาอย่างเป็นทางการกับฝ่ายฐานทัพเรือสัตหีบนั้น ทาง กสม.จะนัดวันเจรจาโดยเร็วที่สุด เพื่อหาทางออกต่อไป เพราะถึงอย่างไรชาวบ้านก็อยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์
/////////////////////////////
