Search

รุมซักโครงการสร้างเขื่อนน้ำโขง-สาละวิน กฟผ.-กรมน้ำแจงยิบ ยันกระบวนการโปร่งใส ผู้ใหญ่บ้านบ้านริมโขงหวั่นเขื่อนปากแบงทำลายวิถีชุมชน”ครูตี๋”เสนอยกเลิกPNPCA-ข้อตกลงแม่น้ำโขงชี้ไร้ประโยชน์ ชาวบ้านรัฐฉานยันพื้นที่สร้างเขื่อนยังสู้รบ

received_1152835898093027

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 เวลา 10.00น. ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ได้มีการประชุมรับฟังข้อเท็จจริงจากภาคประชาชนและหน่วยงานต่างๆ กรณีอาจจะได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงและบนแม่น้ำสาละวิน หลังจากทางเครือข่ายภาคประชาชนได้ยื่นร้องเรียนต่อ กสม.เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยในช่วงเช้าเป็นการประชุมกรณีเขื่อนแม่น้ำโขง และช่วงบ่ายเป็นกรณีเขื่อนแม่น้ำสาละวิน

นายทองสุข อินทะวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการสร้างเขื่อนปากแบงนั้น ประชาชนในแขวงอุดมไซของลาวที่อยู่ในบริเวณสร้างเขื่อนจะถูกย้ายออกประมาณ 15 หมู่บ้าน ส่วนประชาชนในไทย ที่อยู่ใกล้ๆ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองปากแบง 80 กิโลเมตร คือชาวบ้านห้วยลึก ที่กังวลเสมอว่าเขื่อนปากแบง อาจทำให้น้ำท่วมที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน การหาปลา รายได้ และความมั่นคงทางอาหาร นอกจากนี้ส่งผลกระทบโดยตรงมาถึงชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรแม่น้ำโขงในอำเภอเวียงแก่น อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายด้วย ส่วนนี้อยากให้ประเทศไทยที่มีสิทธิในแม่น้ำระหว่างประเทศอย่างแม่น้ำโขง ใช้สิทธิให้เต็มที่และควรทำข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยส่วนรวมมากที่สุด และต้องเปิดเผยข้อมูลการทำรายงานประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างรอบด้าน โดยใช้งานวิจัยจากนักวิชาการและชาวบ้านเป็นหลัก
received_1152835764759707

“ถ้ามีผลกระทบขึ้นมา คนลาวโดนย้ายออกไป เดือดร้อนไร้ที่ทำกิน แล้วคนไทยต้องเสี่ยงน้ำท่วม ไร้ที่ทำกิน เราจะทำยังไง เราคงต้องตายตรงนั้น เพราะแค่เขื่อนตอนบนที่จีนเราก็เดือดร้อนอยู่แล้ว ยังเหลือเขื่อนไซยะบุรี เขื่อนดอนสะโฮง และเขื่อนปากแบงอีก เราก็ต้องเสี่ยงตลอดเวลา กรมทรัพยากรน้ำควรเสนอปัญหานี้แก่ประเทศสมาชิกในลุ่มน้ำโขงให้ทราบปัญหา” นายทองสุขกล่าว

นายนพดล ถาวรกฤชรัตน์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า กรณีเขื่อนปากแบงที่สร้างในลาวนั้น อยู่ระหว่างกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า หรือ PNPCA (Procedure for Notification, Prior Consultation and Agreement) กับ 4 ประเทศ ซึ่งทางกรมฯ จะได้มีการหารือกับตัวแทนแต่ละประเทศมาโดยตลอดในที่ประชุมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) แต่ลาวยังยืนยันจะใช้หลักอธิปไตยในการสร้างเขื่อนและ เสนอขายไฟฟ้าให้ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม กรมฯ นำข้อเสนอของภาคประชาชนในวันนี้ ไปเสนอในที่ประชุมอีกครั้งในการประชุมที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง MRC ได้จ้างบริษัทเอกชนเพื่อทำงานด้านวิชาการ ฯ เพื่อศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนต่อไป โดยกรมน้ำไม่มีสิทธิตัดสินได้ว่าผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร

received_1152835538093063

“ข้อตกลงระหว่างประเทศสำคัญมากและมีความละเอียดอ่อน ไทยจะไปสั่งห้ามลาวไม่ได้ ถ้าลาวจะสร้างเขื่อนเองแล้วขายให้ประเทศอื่นก็ทำได้ แต่นี่ไทยเองยังมีความสัมพันธ์อันดีต้องมีการปรึกษากันตามกระบวนการต่อไป ไม่สามารถใช้เงื่อนไขใดไปบอกลาวให้หยุดได้” นายนพดล กล่าว

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ รองผู้ว่าการนโยบายและแผนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ข้อกังวลจากภาคประชาชนต่อกรณีโครงการสร้างเขื่อนปากแบงนั้นประชาชนยังไม่ต้องกังวลอะไรมาก เพราะ กฟผ.ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าผลการหารือ ใน MRC จะแล้วเสร็จ แต่ยืนยันว่า ประเทศไทยยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าในปริมาณมากแต่กรรมการด้านนโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงานจะตัดสินใจอีกครั้งว่า จะหาไฟฟ้าอย่างไร จากการสร้างโรงไฟฟ้าเองหรือรับซื้อจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีทั้งพม่า ลาว กัมพูชา ที่พยายามเสนอขายไฟมาโดยตลอด แต่ทางไทยจะประเมินราคาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งกรณีแผนการซื้อไฟฟ้าจากพลังงานน้ำในเขื่อนแม่น้ำโขง ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมเดินหน้าทำความเข้าใจ โดยทั้งสองประเทศที่ไทยอาจจะรับซื้อไฟฟ้านั้น จะต้องมีการลงนามร่วมกันระหว่างรัฐกับรัฐ ซึ่งลงนามไว้ก่อนได้ แต่การตัดสินใจซื้อยังไม่เกิดขึ้น จนกว่ากระบวนการหารือทั้ง 4 ประเทศจะแล้วเสร็จ จากนั้นจะเป็นขั้นตอนเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณา แล้วค่อยเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก่อนจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่งหากทางกสม.ต้องการเอกสารแสดงข้อเท็จจริงและกระบวนการดำเนินงานของกฟผ. ทาง กฟผ.ยินดีจะเปิดเผยต่อกสม.แต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ

received_1152843564758927
“ในส่วนของการเตรียมสร้างเสาสายส่งไฟฟ้านั้น กฟผ.ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม แต่ทุกครั้งหากมีการสร้างสายส่งทับพื้นที่ป่า ต้องมีการทำ EIAก่อน” นายกิจจา กล่าว

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า กระบวนการ PNPCA ควรยกเลิกได้แล้ว ตั้งแต่พบว่าใช้ไม่ได้ผลต่อกรณีเสียงของประชาชนที่คัดค้านเขื่อนไซยะบุรี งบประมาณตอนนั้นกรมทรัพยากรน้ำเสียไปตั้งเท่าไหนแล้ว ควรจะยุติ แล้วหันมาเสนอเงื่อนไขใหม่ว่า หากมีประเทศไทยประเทศหนึ่งไม่ต้องการเขื่อน ลาวก็ควรหยุดโครงการทันที อย่างกรณีเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนล่าง กัมพูชาก็เดือดร้อน เวียดนามก็เดือดร้อน ไทยก็ประท้วงมากมายเพราะเดือดร้อนกันถ้วนหน้า น่าจะถึงเวลาควรยุติการทำ PNPCA ได้แล้ว แต่ประเทศไทยเหมือนเกรงใจลาวตลอดเวลา ไม่กล้าพูดความจริง

“ปากแบงนั้นเราไม่เคยมีใครเห็น EIA เลย ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า แล้วผ่านตอนไหน อยากให้กสม.ขอข้อมูลรายงานส่วนนี้จากกฟผ.และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ”นายนิวัฒน์ กล่าว

ด้านนางชื่นชม สง่าราศรี กรีเซน นักวิชาการอิสระด้านนโยบายและการวางแผนพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ที่ กฟผ.ยังตอบคำถามสังคมไม่ได้ คือ เพราะเหตุใด กฟผ.ในฐานะผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ดำเนินการด้านไฟฟ้าพลังน้ำ และโครงการการลงทุนในภาคพลังงานอื่น มีแผนพลังงานสำรองกว่า 41,000 เมกะวัตต์ ทั้งที่ความต้องการใช้ของคนไทยมีแค่ประมาณ 26,000 เมกะวัตต์ แต่ กฟผ.กลับมีการผลิตไฟฟ้าสำรองมากถึง 30 % น่าสังเกตว่า นี่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างกำไรเกินควรแก่กลุ่มผู้ถือหุ้นหรือเปล่า ดังนั้น จึงอยากให้กสม.ขอข้อมูลการลงทุนและขอเอกสารเกี่ยวกับแผนพลังงานเพื่อเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย เพราะประชาชนควรรับทราบว่า หาก กฟผ.ลงทุนด้านพลังงานแล้ว จะนำกำไรสู่ประเทศชาติและมีการลดราคาพลังงานหรือไม่ ข้อมูลส่วนนี้สำคัญมาก

ในช่วงบ่ายที่ประชุมได้พิจารณากรณีโครงการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน โดยนางสาวแสงส่า จันตา ชาวไทใหญ่ จากรัฐฉาน ประเทศพม่า กล่าวถึงข้อกังวลว่า ทุกครั้งที่มีการจัดเวทีชี้แจงข้อมูลของกฟผ. ชาวไทใหญ่รอความหวังที่จะเข้าร่วมเสมอ แต่กฟผ.กลับไม่มีการเชิญชวนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบเข้าไป เว้นแต่เข้าไปสำรวจพื้นที่และทำข้อมูลส่วนอื่น และหากกฟผ.จะมีการลงทุนอย่างจริงจังในช่วงนี้จะไม่เป็นผลดีต่อไทย เพราะการสู้รบในรัฐฉานก็ยังมีอยู่ ส่วนตัวไม่คิดว่าสถานการณ์จะสงบในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ดังนั้นโครงการพัฒนาต่างๆ ไม่ควรเกิดขึ้น หรือเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กฟผ. ควรเสนอข้อมูลอย่างตรงไป ตรงมาและมีการติดต่อประสานงานกับรัฐบาลพม่าเพื่อให้นำข้อมูลเรื่องการสร้างเขื่อนมาชี้แจงกับคนรัฐฉานที่จะได้รับผลกระทบด้วย

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ รองผู้ว่าการนโยบายและแผนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า กรณีการทำความเข้าใจกับชาติพันธุ์ที่อาจได้เขื่อนนั้น เป็นสิทธิของรัฐบาลพม่า ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลปัจจุบันก็คงมีการดำเนินการ แต่ทางกฟผ.ไม่ได้ไปมีส่วนร่วมในกระบวนการทำความเข้าใจใดในกลุ่มผู้ลี้ภัย แต่ในส่วนของชาวบ้านฝั่งไทย ก็พยายามทำแบบสอบถามอย่างต่อเนื่อง และลงพื้นที่หวังจะทำความเข้าใจ แต่ชาวบ้านยังปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการลงความคิดเห็น อย่างไรก็ตาม กรณีเขื่อนมายตง ขณะนี้รัฐบาลพม่าอยู่ระหว่างว่าจ้างบริษัทเอกชนให้ศึกษาความเป็นไปได้ ส่วนเขื่อนฮัตจีนั้นทางกฟผ.จ้างบริษัทและนักวิชาการเพื่อทำข้อมูลความเหมาะสมอยู่ แต่ยินดีจะรับข้อเสนอของภาคประชาชนในวันนี้เพื่อไปพิจารณาก่อนกระบวนการทำ EIA ซึ่งจำเป็นต้องทำเพราะพื้นที่สาละวินจัดเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ

“ที่ประชาชนห่วงว่าจะมี EIA หรือไม่ ผมยืนยันว่าต้องมีแน่ๆ ตอนนี้ก็มีนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เร่งดำเนินการศึกษาข้อมูลอยู่ ส่วนเรื่องของผลการศึกษา EIA นั้นจะเปิดเผยได้หรือไม่ อาจให้กสม.ทำหนังสือขออย่างเป็นทางการกับหน่วยงานของกฟผ.อินเตอร์ฯ แต่อยากให้ภาคประชาชนวางใจได้ว่า EIA จะมีผลแค่ไม่เกิน 2 ปี หากในเวลานี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ก็ต้องจัดทำใหม่เพื่อให้ทันสมัยทุกครั้ง ดังนั้นจะไม่มีการเอา EIA เก่ามาปัดฝุ่นแน่นอน” นายกิจจา กล่าว

ในที่ประชุมถามว่า เพราะเหตุใด กฟผ.จึงต้องมีแผนขายไฟให้ต่างประเทศ อย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย นายกิจจา ตอบว่า กรณีดังกล่าวเป็นความร่วมมือเรื่อง ASEAN Power Grid เพื่อเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าในภูมิภาคของเรา โดยประเทศไทยมีความพร้อมในการสร้างสายส่งในพื้นที่ แต่ไม่มีความพร้อมด้านทรัพยากรเหมือนพม่าและลาว ดังนั้นหากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติมในประเทศในภูมิภาคนี้ ไทยจะเป็นตัวกลางในการจ่ายไฟและจะเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วย ยกตัวอย่างสิงคโปร์นั้น ในที่ประชุม ASEAN สิงคโปร์ได้ยินว่า ลาวจะเป็นแบตเตอรี่ให้ภูมิภาค สิงคโปร์ก็มีความสนใจจะซื้อไฟฟ้า แต่ลาวก็ไม่อาจมีศักยภาพในการส่ง ทางที่ประชุมก็ได้เสนอว่าให้ไทยเป็นผู้ดำเนินการ แต่ว่าโครงการนี้ต้องใช้เวลาในการศึกษาความเป็นไปได้เสียก่อน ยังไม่ได้ตัดสินใจชัดเจน ยังต้องรอตามขั้นตอนต่อไป

ด้าน นางชื่นชม กล่าวว่า อยากให้ กฟผ.เปิดเผยข้อมูลกรณีที่มีการลงข่าวเรื่อง ระดมทุน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อมาลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้า และชี้แจงต่อประชาชนว่า การระดมทุนดังกล่าว หากการดำเนินงานระยะยาวแล้วขาดทุน ค่าใช้จ่ายที่กฟผ.มีจะเป็นหนี้ของรัฐหรือไม่ เพราะ กฟผ.เป็นรัฐวิสาหกิจ อีกประเด็นคือ กรณีที่กฟผ.อินเตอร์ ถือหุ้น100 % ในส่วนของการลงทุนเขื่อนในพม่านั้น มีการวางแผนขายหุ้นในอนาคตหรือไม่ ถ้ามีกำไรจะเอากำไรที่ได้ไปไว้ที่ใด คนไทยที่ซื้อไฟจากกฟผ.มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดหรือไม่ แล้วถ้าขาดทุนใครจะรับผิดชอบ