
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพม่า ได้ออกมาเปิดเผยรายชื่อ 310 บริษัทที่ประกอบการธุรกิจเหมืองหยกรัฐคะฉิ่น ทางเหนือของประเทศ ที่ใบต่ออนุญาตประกอบการจะหมดในสิ้นเดือนนี้ โดยที่รัฐบาล NLD ระบุว่า จะไม่ต่อใบอนุญาตให้กับบริษัทเหล่านี้ หากไม่สามารถจัดการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากลระหว่างประเทศได้
ในเว็บไซต์ของกระทรวงด้านทรัพยากรธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของพม่า ระบุว่า บริษัทส่วนใหญ่ที่ใบประกอบการจะหมดอายุได้ประกอบการขุดหยกในเขตพื้นที่โมหยิ่น ผากั้น และเขตโลนขิ่นในรัฐคะฉิ่น โดยนาย วินเต่ง ผู้อำนวยการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ทางกระทรวงกำลังเตรียมที่จะปรับปรุงพัฒนาแผนดูแลและจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และจะดูแลกำกับบริษัทที่เข้ามาประกอบการทำธุรกิจเหมืองหยกให้เป็นไปตามกฎระเบียบของแผนที่วางไว้
“เราจะไม่ต่อใบอนุญาตให้บริษัทเหล่านี้ หากพวกเขาไม่สามารถทำตามที่กำหนดไว้ได้” นายวินเต่งกล่าว เหมืองหยกผากั้นได้รับความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง หลังเกิดเหตุกองดินถล่มจนทำให้มีประชาชนอย่างน้อย 110 คน ต้องเสียชีวิต เมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว
ทางด้านนายมิ้นห่าน เจ้าหน้าด้านข้อมูลจากสมาคมเครื่องประดับและอัญมณีของพม่า กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ท่าทีของรัฐบาล NLD เป็นสัญญาณที่ดี แต่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทที่ใบอนุญาตจะหมดอายุเหล่านี้ ไม่ได้ประกอบการแค่ในพื้นที่เหมืองหยกพื้นที่เดียวเท่านั้น ดังนั้นรัฐบาล NLD จะดำเนินการตรวจสอบอย่างไรว่าบริษัทเหล่านี้หยุดประกอบการจริง ๆ
เช่นเดียวกับผู้ค้าหยกบางส่วนก็ยังมีคำถามว่า รัฐบาล NLD จะสามารถบังคับใช้กฎหมายห้ามประกอบการทำเหมืองหยกในรัฐคะฉิ่นได้มีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เพราะการบังคับใช้กฎหมายยังดูเหมือนไม่ได้ผลในรัฐนี้ เนื่องจากยังคงเกิดเหตุสู้รบระหว่างทหารพม่าและทหารคะฉิ่น KIA อย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกด้านหนึ่งทางผู้ประกอบการค้าหยกหลายพันคนได้ล่ารายชื่อเรียกร้องไปยังรัฐบาล NLD ให้หยุดการทำเหมืองแร่อัญมณีและการส่งออกที่ผิดกฎหมายไปยังประเทศจีนให้ได้ก่อน เพื่อเพิ่มราคาอัญมณีในตลาดในประเทศให้ดีขึ้น
จากการเปิดเผยของสมาคมเครื่องประดับและอัญมณีของพม่า ตามกฎระเบียบผู้ค้าต้องจ่ายภาษีร้อยละ 28 ให้กับรัฐบาล จากอัญมณีทุกชิ้นที่ขายได้ จึงทำให้มีค้าอัญมณีบางส่วนหลบเลี่ยงภาษีโดยการส่งขายอัญมณีอย่างผิดกฎหมายไปยังประเทศจีน
ก่อนหน้านี้ องค์กรเอ็นจีโอ Global Witness ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เผยแพร่รายงานชื่อ “Jade: Myanmar’s ‘Big State Secret” เปิดโปงว่า ธุรกิจการค้าขายหยกในพม่ายังคงถูกควบคุมโดยเครือข่ายของทหารพม่าและนักธุรกิจที่มีความใกล้ชิดกับทหาร โดยเงินจากการค้าขายหยกจำนวนมหาศาลก็ยังคงเข้ากระเป๋าบริษัทที่เป็นของครอบครัวนายพลตานฉ่วย อดีตผู้นำเผด็จทหารและผู้นำในกองทัพคนอื่น ๆ โดยเมื่อปี 2557 หยกที่สกัดออกมาได้จากเหมืองหยกในรัฐคะฉิ่นมีมูลค่าสูงถึง 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2556 – 2557 บริษัทที่เชื่อมโยงกับครอบครัวของตานฉ่วยนั้นมีเงินเข้ากระเป๋าจากการขายหยกอยู่ที่ 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดกันว่า ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา หยกทำรายได้ให้กับบรรดานายพลพม่าไปแล้วกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ประชาชนท้องถิ่นที่อยู่รอบเหมืองกลับได้รับผลกระทบทั้งทางด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ปัญหาทางสังคม เช่น การเสพและค้ายาเสพติด ปัญหาโสเภณี อีกทั้งชาวคะฉิ่นเป็นเพียงแรงงานชั้นล่างที่ได้ค่าแรงเพียงน้อยนิด
เหมืองหยกผากั้น ทางภาคตะวันตกของรัฐคะฉิ่น อยู่ภายใต้การครอบครองของกองทัพพม่าในปี 2537 หลังทางกองทัพพม่าได้ทำสัญญาหยุดยิงกับคะฉิ่น KIA แม้การทำสัญญาหยุดยิงระหว่างทั้งสองฝ่ายจะแตกหักในปี 2554 แต่กองทัพพม่าก็ยังคงควบคุมพื้นที่ทั้งหมดของเหมืองหยกผากั้นต่อไป
ที่มา Irrawaddy
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ