
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2559 ที่โรงแรมบุรีศรีภู อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา คณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งมีนางเตือน ใจดีเทศน์ กรรมการ กสม. เป็นประธาน ได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านที่ระบุว่า ได้รับผลกระทบจากนโยบายการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสงขลา ซึ่งก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการฯได้ลงพื้นที่มาแล้ว โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ตัวแทนการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตัวแทนองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบเข้าร่วมประชุม
นางเตือนใจ ดีเทศน์ ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ต้องพิจารณาทั้งข้อร้องเรียนและด้านผลกระทบมี 2 ส่วน คือ 1.กรณีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากประกาศให้ย้ายออกจากที่ดินของกรมธนารักษ์นั้น ทุกฝ่ายเห็นว่าชาวบ้านเป็นผู้บุกเบิกไม่ใช่ผู้บุกรุกที่ดิน เพราะชาวบ้านเช่าที่ดินจากรัฐและพัฒนาพื้นที่มาตั้งแต่ปี 2547 ดังนั้น เมื่อมีนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษลงมาในพื้นที่ ต้องให้ชาวบ้านมีสิทธิ์อยู่ในกระบวนการการมีส่วนร่วม รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น และมีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยสรุปจะมีการเสนอขอกันที่ดินจำนวน 300 ไร่ ให้ชาวบ้านที่อยู่มาก่อนเช่าต่อไป และจะเสนอให้โครงการบ้านมั่นคงเข้ามาจัดระบบที่อยู่อาศัย
นางเตือนใจ กล่าวต่อว่า 2.ด้วยพื้นที่ที่ถูกกำหนดเป็นพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสงขลานั้น เป็นพื้นที่ต้นน้ำและแหล่งน้ำผลิตน้ำประปาของอำเภอหาดใหญ่ หากมีการพัฒนาอุตสาหกรรมอาจส่งผลต่อการปนเปื้อน จึงเห็นว่าควรปรับแผนการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแทน แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่าง ๆ ยืนยันว่า ไม่มีอำนาจตัดสินใจ เนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น กสม.จะรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

“การประชุมวันนี้ทำให้เกิดความเข้าใจจากทุกฝ่ายว่า ชาวบ้านไม่ใช่ผู้บุกรุก เขาเป็นคนพัฒนาพื้นที่มาก่อน การพัฒนาจึงต้องไม่ทำให้คนจนเดือนร้อน ดังนั้น หากมีการพัฒนาก็ต้องให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมด้วย” นางเตือนใจ กล่าว
นางบุษบา ช่อผกา ตัวแทนชาวบ้านชุมชนไทย 4 ภาค อำเภอด่านนอก จังหวัดสงขลา กล่าวว่า สมัยก่อนพื้นที่แถบนี้เป็นที่ดินรกร้าง ป่าหญ้า และสวนยาง ที่ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อายัดไว้ ต่อมาปี 2547 รัฐต้องการให้เกิดการพัฒนา จึงเปิดให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเข้ามาเช่าที่ดิน ซึ่งมีชาวบ้านอพยพเข้ามาบุกเบิกหลายร้อยครัวเรือน ทั้งที่ขณะนั้นยังเป็นพื้นที่กันดาร ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา ต้องอาศัยปลูกเพิกเล็ก ๆ และดิ้นรนทำมาหากิน จนสามารถพัฒนาชุมชนให้เจริญขึ้นมาได้ทุกวันนี้ กระทั่งเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ผู้รับมอบที่ดินต่อจาก ปปง. ได้นำป้ายปิดประกาศให้ชาวบ้านย้ายออกจากพื้นที่ภายใน 60 วัน เพื่อนำที่ดินให้ กนอ. เช่าเพื่อพัฒนาตามโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ชาวบ้านเห็นว่า การดำเนินการนี้ไม่เป็นธรรมต่อชาวบ้าน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน 259 ครัวเรือน ต้องถูกขับไล่ออกจากชุมชนที่ร่วมกันพัฒนาขึ้นมา
“เราไม่ใช่ผู้บุกรุก เราเป็นคนบุกเบิกพื้นที่นี้ เราสร้างชุมชนให้เจริญมากว่า 10 ปี เราถางป่าอยู่กันมาตั้งแต่ยังไม่มีน้ำประปา มีหม้อไฟลูกเดียวใช้ด้วยกันทั้งหมู่บ้าน รัฐเป็นคนเชิญให้ชาวบ้านมาอยู่ มาช่วยพัฒนา เสียค่าเช่าครอบครัวละ 1 พันต่อเดือน แต่อยู่ ๆ ให้เราย้ายออกแล้วจะให้เราไปอยู่กันที่ไหน” นางบุษบา กล่าว
นางบุษบา กล่าวต่อว่า ชาวบ้านไม่ได้ต่อต้านการพัฒนาจังหวัดสงขลา เพียงแค่ต้องการอยู่อาศัยในชุมชนเดิมที่ทุกคนร่วมกันพัฒนาขึ้นมา จึงพร้อมเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อขอร่วมกันเช่าที่ดินจำนวน 300 ไร่ ให้ชาวบ้านสามารถอยู่อาศัยต่อไปได้ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากที่ดินทั้งหมดกว่า 1,200 ไร่ ที่ถูกเตรียมไว้ในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสงขลา รวมทั้งจะยินยอมย้ายชุมชนฝั่งสะเดามาอยู่รวมกับฝั่งด่านนอก โดยมีการทำความเข้าใจถึงการจัดสรรที่ดินร่วมกันแล้ว
“เมื่อเห็นบ้านเรามันเจริญขึ้นมาด้วยมือของเรา เราก็อยากจะอยู่บ้านของเรา ทุกคนทำงานหนักสร้างบ้าน สร้างครอบครัวขึ้นมา บางคนพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายอยู่บนผืนดินนี้ เขาก็ผูกพันกับชุมชน จึงเป็นการลงทุนทั้งชีวิต ก่อนจะให้ชาวบ้านย้ายก็ควรเข้ามาถามชาวบ้านที่เช่าอยู่มานานก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ ไล่ให้เราออกแล้วเอาที่ดินไปให้นิคมอุตสาหกรรมเช่า ชาวบ้านพร้อมเช่าอยู่แล้ว จะขึ้นค่าเช่าเท่าไหร่ก็มาคุยกันได้ เราไม่ได้เอาที่ดินทั้งหมด ขอเช่าแค่ชุมชน ที่เหลือก็เอาไปพัฒนาได้” นางบุษบา กล่าว
/////////////////////////



