เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 นางสายใจ หาญทะเล ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางอุทยานแห่งชาติ(อช)หมู่เกาะตะรุเตา ได้เรียกชาวเลที่ประกอบอาชีพเรือหางยาวเพื่อไปขึ้นทะเบียนเรือที่ดำเนินกิจการการท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยได้ทยอยสำรวจเรือชาวเลที่อยู่ในชมรมเรือหางยาวของเกาะ จากนั้นให้ชาวเลดำเนินเรื่องขออนุญาตโดยถูกต้อง ชาวเลส่วนมากที่ประกอบอาชีพขับเรือต่างกังวลว่าจะเป็นการเก็บเงินซ้ำซ้อนหรือไม่ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวบนเกาะเติบโตอย่างมากและไม่แน่ใจว่าเหตุใดหน่วยงานรัฐพยายามจะเก็บค่าธรรมเนียมเรือหลายส่วน ขณะนี้ชาวเลต้องจ่ายค่าเรือรวมทุกรูปแบบไม่ต่ำกว่าลำละ 2,000 บาทแล้ว ต่อปี คือมีค่าต่อทะเบียน มีค่าจอดมีค่าบำรุง ซึ่งเก็บจากหลายหน่วยงาน. แม้จะการจ่ายรายปีก็ตาม แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการเรียกเก็บค่าใบอนุญาตนำเรือบนิกรเที่ยว ชาวเลจึงอยากให้อุทยานฯ ชี้แจง และมีการเปิดเวทีคุยกันกับหน่วยงานอื่น เช่นกรมเจ้าท่า ซึ่งเรียกเก็บค่าเรือเช่นกัน เพื่อหารือว่า ต้องจ่ายอะไรบ้างและแจงเหตุผลถึงการออกกฎให้ชาวเลทำการขอใบอนุญาตดังกล่าวด้วย เพื่อความเข้าใจชัดเจนตรงกัน
“เราเองไม่ได้มีเรือนะคะ แต่เราฟังเขามาอีกที ชาวเลเขามาเล่าให้เราฟังว่า ทำไมเก็บหลายอย่างจังเลย ค่าจอดก็เก็บ ค่าทำประมงก็เก็บ ค่าบำรุงชมรมก็เก็บ แทบจะไม่ได้กำไรจากการขับเรืออยู่แล้ว อยากรู้ว่ามีหน่วยงานใดบ้างเข้ามาคุมเรือ เขาก็สะท้อนกันมาอีกที เราไม่อยากเอ่ยชื่อชาวเลขับเรือให้เขาเดือดร้อน แต่เราอยากให้มีระเบียบชัดเจนกว่านี้ ปีละไม่กี่บาทก็จริง แต่เรือชาวเลมีเป็นร้อยลำ ก็อยากจะรู้รายละเอียด เพราะอยู่ๆ อุทยานมาบอกแล้วให้เข้าไปเซ็นชื่อเก็บหลักฐานสำเนาบัตรประชนไว้ ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรบ้าง และถ้าเป็นไปได้ คนขับเรือเขามองว่าการเก็บธรรมเนียมเรือมันซับซ้อนเกินไป อยากให้ลดค่าธรรมเนียมส่วนนี้” นางสายใจ กล่าว
นางสายใจ กล่าวว่า จริงๆแล้วกรณีเป็นคนท้องถิ่นเติบโตมาและอาศัยอยู่บนเกาะมานาน น่าจะมีข้อยกเว้นหรือเงื่อนไขพิเศษบ้างสำหรับชาวเล เพราะชาวเลใช้เรือทั้งเพื่อการหาปลา ทำประมงพื้นบ้าน ขนของ หรือเพื่อการโดยสารยามจำเป็นเท่านั้น จะมีนำออกมรับใช้ทุนท่องเที่ยวบ้างตามโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น ไม่ได้มีรายได้จากการนำเที่ยวตลอดปี ดังนั้นการเอาหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวมาเรียกเก็บเช่นนี้ทำให้ชาวเลเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรมกับคนท้องถิ่น
นายปณพล ชีวะเสรีชล หัวหน้าสำนักงานอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา กล่าวว่า ค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งได้จัดประชุมชาวเลในเกาะหลีเป๊ะและผู้ประกอบการมาแล้วหลายครั้งว่า เรือประเภทใดก็ตามจะเป็นเรือส่วนบุคคล หรือของบริษัท ถ้าเอามาใช้เพื่อการท่องเที่ยว และมีรายได้จากการท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี แต่ที่ผ่านมามีชาวเลบางกลุ่มไม่เห็นด้วย อุทยานฯ ได้ผ่อนปรนมาแล้วหลายครั้ง แต่ปีนี้เมื่อทุกอย่างลงตัวจึงได้ประชุมทำความเข้าใจและขอเรียกเก็บราวปีละ 300-500 บาทต่อลำตามขนาดเรือ โดยส่วนมากเรือชาวเลเป็นเรือบุคคล ไม่ใช่สปีดโบ๊ท ก็จะเก็บในอัตราขั้นต่ำเป็นรายปี ซึ่งส่วนนี้เป็นรายได้เข้าบำรุงอุทยานฯ และเป็นการควบคุมเรือที่เข้ามาใช้บริการอุทยานฯ ให้อยู่ในระเบียบเท่านั้น
นายปณพลกล่าวว่า ส่วนกรณีกรมเจ้าท่า หรือหน่วยงานอื่นที่เรียกเก็บก็เป็นส่วนค่าธรรมเนียมประเภทอื่น แต่ส่วนนี้อุทยานฯ ได้เก็บรูปแบบค่าธรรมเนียมการขออนุญาตเข้าไปดำเนินกิจการท่องเที่ยวและพักอาศัยในอุทยานแห่งชาติ สำหรับการนำเที่ยว ซึ่งมีทั้งแบบบุคคลธรรมดาและแบบนิติบุคคล โดยรายได้ส่วนนี้เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้องและเรียกเก็บในอัตราที่ไม่แพง ซึ่งโดยปกติอุทยานฯ จะเก็บค่าบริการแบบแยกประเภทอยู่แล้ว คือ เก็บค่าบริการของนักท่องเที่ยวต่างหาก ค่าประกอบธุรกิจต่างหาก และเรือหางยาวชาวเลก็เข้ามาทำกำไรต่อกรณีนำเที่ยวเช่นกัน การจ่ายค่าธรรมเนียมนี้จึงเหมาะสมและไม่แพงเกินไป
นายปณพล กล่าวด้วยว่า กรณีชาวเลกลัวว่าจะจ่ายซ้ำซ้อน ขอแนะนำว่า ถ้าชาวเลมีการรวมกลุ่มแล้วรับจ้างบริษัทก็ให้บริษัทมาแจ้งจดการดำเนินงานและบอกจำนวนเรือ บอกรายละเอียดทะเบียนและชื่อเจ้าของเรือมาให้หมดเพื่อจะได้ไม่เก็บรายบุคคลซ้ำ ซึ่งเรื่องดังกล่าวสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานได้ทุกเมื่อ
///////////////////////////////
