Search

เจรจาสันติภาพในพม่ายุคอองซานซูจีเฉื่อย KNPP ชี้ตกอยู่ภายใต้อำนาจทหาร หวั่นรัฐบาลอยู่ไม่ยืด นักวิชาการเผยทุนนิยมใหม่หวังกินยาวยึดครองแหล่งผลประโยชน์ ไม่สนใจคน-ธรรมชาติ

received_1292297267480222

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2559 ที่โรงแรมเบลล์ วิลล่า รีสอร์ต จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างการจัดกิจกรรมเชื่อมโยงการสื่อสารกลุ่มชาติพันธุ์-สังคมไทย ซึ่งจัดโดยสำนักข่าวชายขอบ (Transbordernews) นายคูอูเร (Khu Oo Reh) ผู้แทนพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (KNPP) ได้บรรยายถึงมุมมองต่อรัฐบาลพม่าที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ว่า แม้ไทยจะมีความสัมพันธ์กับพม่ามานาน แต่สังคมทั้งสองประเทศกลับมีความเข้าใจต่อกันน้อยมาก โดยเฉพาะในด้านการลงทุนและปัญหากลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ เพราะหากมองในเชิงทรัพยากรธรรมชาติแล้ว พม่าถือเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่ปิดประเทศเป็นเผด็จการทหารมานานกว่า 50 ปี กลุ่มชาติพันธุ์ถูกคุกคาม รีดนาทาเร้นจนต้องอพยพหนีภัยเข้ามาอยู่ไทยและประเทศที่สามจำนวนหลายแสนคน ในช่วงปิดประเทศภายใต้เผด็จการทหาร มีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนทั้งในธุรกิจใหญ่ๆ ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เหมืองหยก แต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่ในมือกลุ่มนายพลพม่าไม่กี่ราย ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากการลงทุนที่เกิดขึ้นนี้

received_1292298127480136

นายคูอูเร กล่าวต่อว่า ขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านของพม่าบอกว่ากำลังขาดแคลนพลังงาน จึงมีแผนลงทุนสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าในพม่าจำนวนมาก แต่ก็เป็นการลงทุนที่ไม่มีความโปร่งใส โดยไม่สนใจต่อผลกระทบและเสียงคัดค้านของชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการเขื่อนในแม่น้ำสาละวิน ที่จะผลิตไฟฟ้าส่งให้ประเทศเพื่อนบ้าน และส่งให้เขตอุตสาหกรรมในประเทศที่เป็นของบรรดานายพลพม่า แต่ไฟฟ้ากลับไม่ได้ส่งไปให้ประชาชนที่ขาดแคลนไฟฟ้า ที่มีการเร่งผลักดันเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ประชากรแทบทั้งหมดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ ก็สะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความในใจชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำ ทำให้ในการเจรจาสันติภาพที่กองกำลังชาติพันธุ์เรียกร้องให้ยุติโครงการเขื่อน ก่อนที่จะเริ่มพูดคุยในข้อตกลงสันติภาพที่ชัดเจน แต่ขณะนี้การเจรจาก็ไม่คืบหน้า

“กลุ่มกองกำลังและพรรค NLD เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันตั้งแต่สมัยเป็นฝ่ายค้าน แต่เมื่อ NLD ขึ้นมามีอำนาจกลับไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น เพราะอำนาจทั้งหมดยังอยู่ที่กองทัพ ทำให้พวกเราสงสัยว่าเขาจะนำพาประเทศไปทางใด ประชาชนเองก็สงสัยเช่นเดียวกัน การเจรจาของกลุ่มกองกำลังและรัฐบาลใหม่แทบไม่มีความคืบหน้าเลย เพราะรัฐบาลนี้ไม่มีอำนาจที่แท้จริง เมื่อเจรจาอะไรไปแล้วทหารไม่เอาด้วย รัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ ล่าสุดเราได้ทำจดหมายถึงคณะกรรมการที่มีนางอองซานซูจีเป็นประธาน เพื่อให้เกิดการเจรจาอย่างเป็นทางการ แต่ยังไม่มีคำตอบ” นายคูอูเร กล่าว

received_1292296994146916

นายคูอูเร กล่าวว่า ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตย เพราะภายหลังจากพรรค NLD ขึ้นมาบริหารประเทศทำให้นานาประเทศเลิกการคว่ำบาตรพม่า ซึ่งเป็นผลดีต่อการลงทุนที่จะเข้ามา แต่เราเริ่มสงสัยแล้วว่าการลงทุนจะออกมาในรูปแบบใด เพราะผลประโยชน์อยู่ในมือของนายพลพม่าเพียงไม่กี่คน ขณะที่มีปัญหามากมายที่รัฐบาลพรรค NLD ไม่สามารถแก้ไขได้ ทำให้ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ เมื่อรัฐบาลพรรค NLD ยังไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ลดอำนาจทหาร ผลประโยชน์จากการลงทุนก็ยังคงไปอยู่ในมือทหารต่อไป

นายคูอูเร กล่าวว่า จริงๆ แล้ว พม่ามีคนเก่งมากมายที่พร้อมจะช่วยพัฒนาประเทศ แต่หากมองไปในกระทรวงต่างๆ จะพบว่าล้วนเป็นผู้บริหารชุดเดิมของรัฐบาลทหาร ซึ่งทุกคนจ้องมองและคาดหวังอย่างสูงต่อนางออง ซาน ซูจี รัฐบาลพรรค NLD ก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน และไม่มีอำนาจบริหารอย่างแท้จริง ยังต้องมีทหารเข้ามาร่วมเจรจาสันติภาพ หากยังคงเป็นสถานการณ์เช่นนี้ประชาชนก็ยังคงต้องทุกข์ยากต่อไป

received_1292298454146770

ด้านดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ หัวหน้าศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะให้สังคมไทยเข้าใจประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นมรดกที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ ที่มีนโยบายการจัดการกลุ่มชาติพันธุ์โดยการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยให้กลายเป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น คะฉิ่น ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆ อยู่ด้วย แต่อาศัยอยู่ในรัฐคะฉิ่น อังกฤษจึงเรียกทั้งหมดว่าเป็นคะฉิ่น เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น ชิน กะเหรี่ยง ที่ยังมีกลุ่มย่อยๆ ในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อยู่อีก ซึ่งเป็นความสลับซับซ้อนที่นายพลเนวินเคยบอกว่าในพม่ามีถึง 135 กลุ่ม จึงเป็นสิ่งที่สังคมไทยไม่เข้าใจและมองข้ามเรื่องนี้ไป

ดร.ชยันต์ กล่าวต่อว่า แม้ในหลายประเทศแถบนี้ เช่น มาเลเซีย กัมพูชา ไทย จะมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์เช่นเดียวกัน แต่กระบวนการต่อสู้และการจัดการปัญหามักจะใช้การเจรจาทางการเมือง ซึ่งต่างจากความขัดแย้งในพม่าจะใช้กำลังทำสงครามและความรุนแรง ซึ่งรัฐบาลพม่าไม่ต้องการให้ภาพเหล่านี้ถูกนำเสนอออกไป เพราะจะทำให้ภาพพจน์ประเทศที่กำลังก้าวสู่ประชาธิปไตยเสียหายและกระทบต่อการลงทุนที่จะเกิดขึ้น

ดร.ชยันต์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นเราต้องพยายามให้ความรู้กับคนไทยว่า สถานการณ์ในพม่ามีความหลากหลายและซับซ้อน และอะไรควรเป็นเรื่องสำคัญที่สุดระหว่างสันติภาพกับการพัฒนา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าของทั้งสองเรื่องนี้ โดยหากมองถึงท่าทีรัฐบาลพรรค NLD ที่นางออง ซาน ซูจี เดินสายไปต่างประเทศเพื่อเชิญนักลงทุนให้เข้ามาในพม่า แต่การเจรจาสันติภาพในพม่ากลับไม่คืบหน้ามาแล้วถึง 3-4 เดือน อาจทำให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสนใจอยู่ที่การพัฒนา ซึ่งขณะนี้มีข้อสังเกตว่ารัฐบาลพรรค NLD และนางอองซานซูจี มีอำนาจบริหารประเทศที่แท้จริงหรือไม่

“เมื่อก่อนการเจรจาสันติภาพมีคณะกรรมการศูนย์กลางสันติภาพ (MPC) ที่นายพลเต็งเส่ง ให้นายอูอ่องมินเป็นประธาน และมีความก้าวหน้าไปตามลำดับ โดยนายพลเต็งเส่ง ยอมทำตามข้อเสนอ แต่เมื่อได้รัฐบาลชุดใหม่ที่ พรรค NLD ขึ้นมาปกครองและได้เปลี่ยนตัวคณะกรรมการโดยนายเต็งเมียวมิน ซึ่งเป็นคนของนางอองซานซูจีเป็นประธาน กลับไม่มีความคืบหน้า เพราะกรรมการที่มีแต่ทหาร เมื่อเขาไม่ยอม กลไกลในการเจรจาสันติภาพก็ไปต่อไม่ได้” ดร.ชยันต์ กล่าว

ดร.ชยันต์ กล่าวต่อว่านางออง ซาน ซูจีถูกโจมตีอย่างหนักเพราะเธอได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่เมื่อขึ้นมาบริหารประเทศกลับไม่แก้ปัญหาด้านนี้ เช่นมีท่าทีไม่สนใจต่อปัญหาโรฮิงยา ซึงหากมองลึกลงไปจะเห็นว่าปัญหาโรฮิงยามีความซับซ้อน ที่อาจมีเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองอยู่เบี้องหลัง หากนางออง ซาน ซูจี ออกความเห็นในเรื่องนี้ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อฐานคะแนนเสียงของพรรค NLD และรวมไปถึงอาจเป็นเกมส์การเมืองของกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่

“การพัฒนายุคนี้อยู่ภายใต้ทุนนิยมและเสรีนิยมใหม่ โดยเข้าไปยึดครองระยะยาว เช่น ด้านพลังงานก็เข้าไปสร้างเขื่อน ขุดเจาะน้ำมัน โดยคิดแต่เรื่องผลประโยชน์โดยไม่สนใจคนหรือธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงเรื่องชาติพันธุ์ในพม่า ควรโยงถึงเรื่องเหล่านี้ด้วย หากรัฐบาลพม่านำการลงทุนในลักษณะนี้เข้าไปก็จะมีปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย” ดร.ชยันต์ กล่าว

อนึ่ง สำหรับกิจกรรมเชื่อมโยงการสื่อสารกลุ่มชาติพันธุ์-สังคมไทย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2559 มีสื่อมวลชนจากสำนักข่าวต่างๆ กว่า 10 คนมาร่วมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้รูปแบบการสื่อสารและเครื่องมือใหม่ๆ ร่วมกัน โดยมีวิทยากร ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน ช่างภาพ นักถ่ายทำสารคดี มาร่วมกันให้ความรู้ ทั้งนี้ในวงแลกเปลี่ยนต่างมีมุมมองในทำนองเดียวกันว่า ปัจจุบันข่าวสารของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ตามแนวชายแดนไทยและในพม่า ยังไม่สามารถเข้าถึงสังคมไทยได้ ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจในวิถีวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ดังนั้นต่อไปจะมีการเชื่อมโยงกันระหว่างสื่อมวลชนไทยและกลุ่มชาติพันธุ์มากขึ้น

—————

On Key

Related Posts