ตัวแทนชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากการประกาศเขตอุทยานฯ ลำน้ำกก จังหวัดเชียงราย และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ได้เข้ายื่นหนังสือ ต่อ ผู้บัญชาการจังหวัดทหารบกเชียงราย, ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อร้องเรียนให้หน่วยงานต่างๆ สร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมก่อนการเตรียมประกาศเขตอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก จังหวัดเชียงราย
ทั้งนี้ที่ผ่านมาตัวแทนชาวบ้านและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือได้มีพูดคุย ติดตามและยื่นหนังสือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอุทยานฯลำน้ำกก เรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชาวบ้าน ซึ่งเดิมทีมีข้อตกลงร่วมกันว่า การแก้ไขปัญหาจะดำเนินการอย่างมีส่วนร่วม การตรวจสอบพื้นที่จะใช้ภาพถ่ายอากาศ ปี 2545 ในการตรวจสอบ หากปรากฏร่องรอยตามภาพถ่ายปี 2545 จะอนุโลมให้ใช้ประโยชน์โดยไม่มีการบุกรุกเพิ่มเติมและเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์
ส่วนตั้งแต่ ปี 2545 – 2557 จะตรวจสอบเป็นรายกรณีโดยใช้หลักเกณฑ์ผู้ยากไร้ ผู้ยากจน ผู้ไม่มีที่ดินทำกิน ผู้มีรายได้น้อยและไม่เป็นนายทุน และหลังปี 2557 จะขอคืนพื้นที่ทุกกรณี โดยจะมีกระบวนการทำความเข้าใจแต่ละชุมชนและร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน และหาทางออกเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ ความเดือดร้อนและลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น แต่ปรากฏภายหลังว่าการปฏิบัติงานในพื้นที่ ชาวบ้านถูกกดดัน ข่มขู่ และสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน ทั้งจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ส่วนปลูกป่า ทหาร ฯลฯ โดยให้ชาวบ้านลงลายมือชื่อในเอกสารการยินยอมคืนพื้นที่โดยไม่มีกระบวนการตามที่เจรจากันไว้ ดังกรณีที่เกิดขึ้นบ้านโป่งขม บ้านโป่งป่าแขม ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน และบ้านหัวฝาย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
ดังนั้น ชาวบ้านโป่งขม บ้านโป่งป่าแขม และบ้านหัวฝาย เห็นว่าการลงชื่อเอกสารการยินยอมคืนพื้นที่นั้นเป็นการกดดัน บังคับ ให้จำยอม โดยที่ชาวบ้านไม่เข้าใจเนื้อหาในเอกสารดังกล่าว และไม่ได้มีกระบวนการชี้แจงทำความเข้าใจจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ การปักหลักเขตของอุทยานที่มีการปักหลักเข้าพื้นที่ของชาวบ้าน โดยไม่ทำความเข้าใจและไม่ได้ช่วยกันแก้ปัญหาร่วมกับชาวบ้านแต่อย่างใด สร้างความวิตก กังวล ตัวแทนชาวบ้านผู้เดือดร้อนและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จึงมีข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 ข้อ
1 คืนเอกสารให้กับชาวบ้าน บ้านโป่งขม บ้านโป่งป่าแขม และบ้านหัวฝาย ที่ได้เซ็นต์เอกสารการยินยอมคืนพื้นที่ เพื่อสร้างกระบวนการทำความเข้าใจกับเอกสารดังกล่าวก่อนและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม
2 กรณีบ้านหัวฝาย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อุทยานฯลำน้ำกก กรมป่าไม้ สวนปลูกป่าและทหารที่ละเมิดสิทธิชุมชน
3ให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯลำน้ำกกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดตามแนวทางมติการประชุม วันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ที่อุทยานฯลำน้ำกก เพื่อไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านในพื้นที่ และเป็นแนวทางที่จะช่วยให้แก้ไขปัญหาตามที่พูดคุยกันไว้
ทั้งนี้ชาวบ้านยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะคัดค้านการประกาศเขตอุทยาน แต่ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับชาวบ้านและวิถีชุมชน อีกทั้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยึดหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาไม่ใช่ใช้แต่การบังคับ ข่มขู่ อย่างที่ผ่านมา ระดับหัวหน้าคุยอีกอย่าง ฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่ทำอีกอย่าง ทุกคนก็จะเดือดร้อน ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่รัฐชาวบ้านก็ดูแลรักษาป่าที่มีอยู่มาไม่น้อย ป่าอยู่ได้ คนก็อยู่ได้ และเพื่อให้เกิดความสงบสุขของชาวบ้าน
ด้านนายเจริญ คำฮ้อย อายุ 52 ปี เกษตรกรบ้านโป่งพระบาท หมู่ 18 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตนมีที่ดินที่ทำการเกษตรจำนวน 5 ไร่ 1 งานในพื้นที่ในชุมชน โดยนายเจริญใช้พื้นที่ปลูกข้าว มันสำปะหลัง มะม่วง ลิ้นจี่ และปัจจุบันกำลังปลูกสับปะรด แต่เมื่อไม่นานมานี้หน่วยงานป่าไม้ ได้เข้ามาแจ้งให้กับชุมชนว่าพื้นที่ทำกินของชุมชนในขณะนี้เป็นพื้นที่แปลงปลูกป่าของกรมป่าไม้ ซึ่งมีพื้นที่ของชาวบ้านหลายรายจะต้องถูกยึดคืนทั้งที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ในพื้นที่มานาน โดยล่าสุดพื้นที่ของตนก็ถูกปักหลักเขตยึดที่ ตามแผนการยึดคืนไปด้วย โดยไม่ได้มีการชี้แจงหรือสร้างความเข้าใจหรือแม้แต่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายเจริญ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่สวนป่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พร้อมเจ้าหน้าที่ทหาร ได้เข้ามาลงพื้นที่ปักหลักเขตโดยใช้หลักไม้ป้ายสีแดงในพื้นที่ของตนและชาวบ้านคนอื่นๆโดยตนเองไม่ได้รู้ล่วงหน้า พอมาพบอีกทีก็มีหลักเขตปักขึ้นในพื้นที่ทำกินของตน จากพื้นที่ทำกินที่กำลังปลูกสับปะรดที่มีอยู่ 5 ไร่ 1 งาน เหลือไม่ถึง 30 ตร.วา ซึ่งทำให้ตนเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่คิดและกังวลถึงอนาคตของตนเองซึ่งต้องเดือดร้อนที่จะถูกยึดคืนที่ดินของตน ทั้งที่ผ่านมาชุมชนได้ส่งตัวแทนไปพูดคุยกับอุทยานฯลำน้ำกกแล้วและเห็นว่าจะเข้ามาสร้างความเข้าใจพร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับชาวบ้าน และร่วมกันแก้ไขปัญหากรณีเขตพื้นที่ป่าที่ทับซ้อนที่ทำกินของชาวบ้านเพื่อไม่ให้ชาวบ้านเดือดร้อน