เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2559 นางสมิลา หงษามนุษย์ อายุ 55 ปี ชาวบ้านห้อม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า พรุ่งนี้ (22 ธันวาคม) ตนและชาวบ้านรวม 29 คน จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาศาลจังหวัดนครพนม ภายหลังตนและชาวบ้านถูกทางหน่วยงานรัฐโดยปลัดอำเภอเมือง ได้ฟ้องร้องข้อหาบุกรุกที่ดินสาธารณะ โดยข้อหาดังกล่าวนั้นสืบเนื่องมาจากช่วงเดือนกรกฎาคม 2557 ชาวบ้านจำนวนหนึ่งถูกควบคุมตัวโดยหน่วยงานการปกครองท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และต่อมาก็ได้รับหมายศาลให้เข้ารับทราบข้อหาบุกรุกที่ นสล. (หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เป็นหนังสือแสดงสิทธิในการขอใช้ประโยชน์หรือร่วมกันใช้ที่ดินในเขตราชพัสดุหรือเขตสาธารณประโยชน์ ออกโดยกรมที่ดิน เป็นเอกสารสิทธิแสดงแนวเขตที่ดินของรัฐ โดยอาจจะออกเป็นแปลงใหญ่รวมกันและระบุชื่อหน่วยงานที่ใช้ประโยชน์ไว้ได้) ซึ่งที่ดิน นสล.นี้เดิมทีก็มีปัญหามามากมายเพราะรัฐพยายามจะประกาศที่ดินบ้านห้อมเป็นที่ดิน นสล.ทั้งที่เอกสารการอาศัยอยู่ของชาวบ้านนั้นเป็นในรูปแบบ “ใบแจ้งความประสงค์” ซึ่งส่วนนี้ชาวบ้านได้ต่อสู้และพยายามพิสูจน์กรรมสิทธิ์แล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้จะขึ้นศาลรับคำพิพากษาพรุ่งนี้แล้ว ตนก็ยังงงอยู่ว่าเพราะเหตุใดชาวบ้านจึงต้องตกเป็นจำเลยในคดีที่ดินที่ยังพิสูจน์กรรมสิทธิ์ไม่เสร็จ
“ตอนเขามาควบคุมตัวเรา เขาก็เอาเจ้าหน้าที่มา ถือปืน มากันทุกคนแล้วมาบอกเราว่าจะพาชาวบ้านไปสำนักงานที่ดินเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่ดิน โดยไม่มีการส่งหนังสือหรือแจ้งล่วงหน้า แต่พอนั่งรถไป ปรากฏเอาไปจอดที่สถานีตำรวจแล้วให้ลงนามรับทราบข้อกล่าวหา พวกเราโดนบังคับให้ยอมรับข้อหาไปโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ล่วงหน้า แล้วหมายศาลมาทีหลัง ป้าเองก็คนทำอาหารอีสานขายพออยู่ได้ไปวันๆ ป้าอยู่ในที่ดินเล็กๆ เองนะ ราว 1 งาน 12 ตารางวา ซึ่งมีญาติๆ สร้างบ้านติดกันรวม 5 ครอบครัว ป้าไม่รู้จริงๆ ว่าศาลเขาจะตัดสินเราแพ้หรือชนะ แล้วถ้าเราแพ้ เราจะไปอยู่ทีไหน” นางสมิลา กล่าว
ด้านนางวิไลวรรณ สีสัญ อายุ 56 ปี ชาวบ้านห้อม กล่าวว่า การแจ้งความดำเนินคดีกับชาวบ้านหลายรายไม่ใช่แค่รัฐมองเรื่องการบุกรุกที่ดิน แต่รัฐพยายามจะเอาที่ดินไปทำเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยไม่มองผลกระทบต่อชาวบ้าน ที่ผ่านมาชาวบ้านทราบข่าวว่ามีการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม แต่ชาวบ้านห้อมรู้แค่ผ่านๆ ไม่เคยเข้าใจรายละเอียด และการเปิดเวทีรับฟังที่ผ่านมาเป็นแค่การจัดตั้งมวลชนไปฟัง ส่วนตัวมองว่า หากชาวบ้านจำต้องย้ายออกจากพื้นที่รัฐบาลต้องมีกระบวนการและมาตรการที่ละเอียดอ่อนกว่านี้
“ป้ากับญาติๆ อาศัยอยู่ในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ทั้ง นส.2 สค1 ที่ดินป้าเป็นชื่อของคุณตา ซึ่งก่อนหน้านั้นคุณตาของป้าเคยถูกเวนคืนที่ดินสร้างสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 มาแล้ว มาครั้งนี้ เราไม่รู้ว่าถ้าเรายอมย้ายออกแล้วเราจะได้อะไร คุ้มค่าไหม เพราะรัฐมาแจ้งความว่าเราบุกรุกที่หลวง มันจะอยู่ก็ไม่สุข จะไปก็ไม่สุข เราถูกเบียดเบียนเยอะไปแล้ว และไม่คิดมาก่อนว่าที่ดินที่เคยอยู่มานานตั้งแต่เกิด มาวันนี้กลับบอกว่ามันไม่ใช่ของเราและเราต้องไปเพราะเศรษฐกิจพิเศษ” นางวิไลวรรณ กล่าว
อนึ่ง ในการประกาศพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ระยะ 2 ลงวันที่ 24 เมษายน 2558 ในข้อ 4 ของประกาศดังกล่าว ระบุว่า ให้ท้องที่ตำบลกุรุคุ ตำบลท่าค้อ ตำบลนาทราย ตำบลนาราชควาย ตำบลในเมือง ตำบลบ้านผึ้ง ตำบลโพธิ์ตาก ตำบลหนองญาติ ตำบลหนองแสง ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม และตำบลโนนตาล ตำบลรามราช ตำบลเวินพระบาท อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม” ต่อมาวันที่ 18 มกราคม 2559 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) มีมติเห็นชอบให้ใช้ที่สาธารณประโยชน์ “โคกภูกระแต” ตั้งอยู่ที่บ้านห้อม หมู่ที่ 1 ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม เนื้อที่ 1,860 ไร่ เป็นนิคมอุตสาหกรรม ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดนครพนม เพื่อสนับสนุนให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และภาคเอกชนเช่าพื้นที่ระยะยาวนั้น
ก่อนจะมีการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษนครพนม หน่วยงานภาครัฐได้พยายามเคลียร์พื้นที่ที่จะใช้รองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว โดยในวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ป่าไม้ และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังเข้าจับกุมชาวบ้านห้อม ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก และคำสั่ง คสช. ที่ 64 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557 และคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เข้าดำเนินการจับกุมชาวบ้าน จำนวน 14 ราย โดยอ้างชาวบ้านทั้งหมด บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ โคกภูกระแตบ้านไผ่ล้อม
ในระหว่างวันที่ 18–22 สิงหาคม 2557 อำเภอเมืองนครพนม ร่วมกับ กอ.รมน.จังหวัด นครพนม ได้เชิญราษฎรที่ถูกกล่าวอ้างว่า บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ “โคกภูกระแตบ้านไผ่ล้อม” ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จำนวน 284 ราย มาทำพันธสัญญาและทำความเข้าใจในการดำเนินการขอคืนพื้นที่ป่าสาธารณประโยชน์ ตามคำสั่ง คสช. ที่ 64 และคำสั่ง คสช. ที่ 66 ที่หอประชุมอำเภอเมืองนครพนม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า เป็นการดำเนินการตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กรณีเรียกผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ “โคกภูกระแต บ้านไผ่ล้อม” ตำบลอาจสามารถ มาทำพันธสัญญา โดยมีสรุปข้อมูลว่า มีผู้บุกรุก จำนวน 284 ราย ผู้บุกรุกมาพบเจ้าหน้าที่ จำนวน 277 ราย ผู้บุกรุกไม่มาพบเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 ราย มีผู้ยินยอมออกจากพื้นที่บุกรุก จำนวน 256 ราย และมีผู้บุกรุกอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง จำนวน 21 ราย
ต่อวันที่ 22 ตุลาคม นายอำเภอเมืองนครพนม ได้มีหนังสือมอบอำนาจให้นายสุภชัย ท้าวกลาง ตำแหน่งปลัดอำเภอ (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) อำเภอเมืองนครพนม เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ “โคกกระแตบ้านไผ่ล้อม” ตำบลอาจสามารถ โดยคดีดังกล่าวนี้ พนักงานอัยการจังหวัดนครพนม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องชาวบ้านที่ถูกจับต่อศาลจังหวัดนครพนม ในฐานความผิด ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด อันเป็นการทำลายป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง หรือ เผาป่า กระทำด้วยประการใดอันเป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน โดยคำขอท้ายคำฟ้องของพนักงานอัยการระบุว่า การที่จำเลยได้กระทำตามข้อความที่กล่าวมาในคำฟ้องนั้น ข้าพเจ้าถือว่าเป็นความผิดต่อกฎหมายและบทมาตรา ดังนี้คือ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 2, 9, 108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ข้อ 11 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 54, 55, 72 ตรี พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 มาตรา 22 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2522 มาตรา 9 ขอให้ศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอศาลได้สั่ง ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเข้าไปยึดถือครอบครองพร้อมทั้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าว ซึ่งต่อศาลจังหวัดนครพนมได้สั่งให้ร่วมคดีพิจารณา มีจำเลย จำนวน 29 คน โดยได้มีการนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา และกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 ธันวาคม 2559 เวลา 09.00 น. ณ ศาลจังหวัดนครพนม ที่จะถึงนี้
/////////////////////////////////////