Search

นายกฯสั่งสอบคดี“วิสามัญฆาตกรรมลาหู่” ขอร้องอย่าเพิ่งพูดอะไรมาก กสม.ส่งทีมร่วมตรวจ เครือข่ายด้านชาติพันธุ์ 31 องค์กรออกแถลงการณ์จี้ให้ความเป็นธรรม

ภาพจาก IMPECT

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐทำการวิสามัญ”ชัยภูมิ ป่าแส” ประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมืองชาวลาหู่ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดกองร้อยทหารม้าที่ 2 บก.ควบคุมที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 5 อำเภอเชียงดาว เมื่อวันที่ 17มีนาคม 2560 นั้น หลังจากทางเพื่อนและญาติประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและฝังศพนายชัยภูมิแล้วเสร็จล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 เมื่อเวลา 13.50 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า วันเดียวกันนี้ตนเองได้สั่งตรวจสอบในขั้นต้นแล้วว่าสาเหตุมากจากอะไร โดยเบื้องต้นเท่าที่ทราบเป็นเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ได้ติดตามเรื่องของยาเสพติด ปรากฏว่านายชัยภูมิ ได้นั่งอยู่บนรถคันดังกล่าวด้วย จากนั้นได้มีการตรวจค้น และพบยาเสพติดในรถ ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่ว่านายชัยภูมิ ที่นั่งในรถด้วยมีความเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่บังเอิญว่าในช่วงเวลานั้นนายชัยภูมิ ได้วิ่งหนี้ออกจากรถ และเจ้าหน้าที่ให้การว่ามีการขว้างระเบิด จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธ

“เดี๋ยวผมจะให้มีการตรวจสอบต่อไป แต่ถ้าจะมองเพียงแค่ว่าเขา เป็นนักกิจกรรมชาติพันธุ์ หรือเปล่า ถึงต้องถูกวิสามัญ ซึ่งคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่เคยคิดแบบนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต้องให้เกิดความชัดเจน ว่ากันด้วยพยานหลักฐาน ขอร้องว่าวันนี้อย่าเพิ่งพูดกันไปมา เดี๋ยวจะเสียรูปคดี ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันไปก่อน”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ในวันเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ได้มีการหารือกรณีการวิสามัญนายชัยภูมิโดยได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรที่มีนายชาติชาย สุทธิกลม เป็นประธาน ดำเนินการติดตามกรณีที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามได้มีการหยิบยกเรื่องอายุของนายชัยภูมิว่าอายุเท่าไหร่แน่ เพราะในบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน(บัตรเลขศูนย์) แจ้งว่าอายุ 21 ปี ขณะที่คนในครอบครัวและคนใกล้ชิดระบุว่านายชัยภูมิมีอายุเพียง 17 ปี ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่าควรใช้กฎหมายฉบับใดมาอ้างอิงด้วย อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นจะมีการเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด

ด้านนายวิทวัส เทพสง รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และผู้ประสานงานเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.)ภาคใต้ เปิดเผยว่า วันนี้ คชท.ได้มีการออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ “นายชัยภูมิ” เยาวชนนักกิจกรรมที่ช่วยทำงานขับเคลื่อนสังคมมาโดยตลอด

นายวิทวัส กล่าวว่า ตนรู้จักกับนายชัยภูมิมานานกว่า 5 ปี เนื่องจากการรวมตัวของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วประเทศเพื่อรณรงค์ด้านสิทธิทุกด้านของชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมือง ให้เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย ในฐานะที่ตนเป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานกับคนพื้นเมืองทางภาคใต้มองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกรณีความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นพลเมืองชั้นสองของสังคมไทย ที่มักถูกตัดสินผิดถูกแบบไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามส่วนตัวนั้นมองว่าชัยภูมิเป็นนักกิจกรรมที่มีความกระตือรือร้นและมีความสามารถ การตายของชัยภูมิ ไม่ต่างจากการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอบ ของ บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ และนักสิทธิมนุษยชนรายอื่นที่มักมีเงื่อนงำและทิ้งปริศนาข้อใหญ่ไว้ให้สังคมเสมอ ทั้งที่นักกิจกรรมเหล่านี้ทำความดี ความชอบเพื่อสังคมและเป็นเสาหลักให้เครือข่าย ซึ่งน่าแปลกใจที่ว่าในวันหนึ่งบุคคลเหล่านี้ถูกทำให้หาย หรือเสียชีวิตแบบไม่สมเหตุผล

“ การตายของน้องเหมือนการฆาตกรรมความดีๆ เพราะน้องเขามีน้ำใจ และมีทักษะการบริหารสูงมาก คือ อายุแค่17 ปี แต่ความสามารถไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่มีกิจกรรมวันชนเผ่าพื้นเมืองน้องจะเข้าไปทำหน้าที่สันทนาการ ร้องเพลง สร้างความสุข รอยยิ้มให้ผู้ร่วมงาน รวมทั้งทำสื่อรณรงค์เพื่อสิทธิเด็กและเยาวชนชนเผ่าพื้นเมืองที่มักถูกสังคมหลงลืมเสมอ ซึ่งถ้าเหตุการณ์เลวร้ายไม่เกิดขึ้นกับชัยภูมิ แต่ไปเกิดกับเพื่อนคนพื้นเมืองคนอื่น เชื่อว่า ชัยภูมิจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้บุคคลนั้นแน่นอน เพราะเขาเป็นผู้นำเคลื่อนไหว มีทักษะการเป็นผู้นำ ”นายวิทวัสกล่าว

รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมือง กล่าวด้วยว่า ชัยภูมิ เป็นเด็กหนุ่มเชื้อสายลาหู่ ซึ่งทำกิจกรรมทางสังคม-สิทธิพลเมือง และกิจกรรมทางด้านเยาวชนมาตลอดหลายปีหลังชัยภูมิมีความเกี่ยวพันกับวงการภาพยนตร์ไทยมากพอสมควร โดยเขาได้เข้าร่วมเป็นทีมงานผลิตหนังสั้นและหนังสารคดีเชิงชาติพันธุ์หลายเรื่อง หนึ่งในหนังสั้นที่เขามีส่วนร่วมในการผลิต คือ “เข็มขัดกับหวี” (ผลงานการกำกับของสุทิตย์ ซาจ๊ะ) ซึ่งได้รับรางวัลดีเด่น สาขาช้างเผือกพิเศษ จากเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 16 พ.ศ.2555 (รับชมหนังสารคดีได้ที่https://www.youtube.com/watch?time_continue=108&v=8sgtCA3NYGI)

อนึ่งเนื้อหาในแถลงการณ์ของ คชท.และภาคี ระบุใจความโดยสรุปว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ได้สร้างความอาลัยและสะเทือนใจแก่เพื่อนนักกิจกรรมทางสังคม เครือข่ายเด็กและเยาวชน ภาคีหน่วยงานรัฐและองค์กรที่ทำงานปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนายชัยภูมิเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ชอบความรุนแรง เป็นเยาวชนที่มีความเสียสละทุ่มเทเวลาส่วนตัวในการทำกิจกรรมเพื่อชุมชน เพื่อเด็กไร้สัญชาติ ได้มีโอกาสในสังคม ความมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองจึงได้กลายเป็นแกนนำเยาวชน ทั้งในการเรียนยังเป็นนักเรียนที่เรียนดี ได้อันดับที่ 2 ในชั้นเรียนและยังเป็นนักกิจกรรมที่ออกมาต่อสู้ชาติพันธุ์เพื่อเรียกร้องสิทธิและสถานะให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย รวมทั้งยังเป็นศิลปินชาติพันธุ์ลาหู่ (นักดนตรีและแต่งเพลงที่ช่วยสะท้อนปัญหาเด้กไร้สัญชาติจนเป็นที่ยอมรับ) ชัยภูมิมีนิสัยที่อ่อนโยน รักเพื่อน พี่น้อง ชอบออกค่ายอาสา และมีผลงานในการทำหนังสั้นส่งประกวดและถูกเผยแพร่ทางสื่อสาธารณะมากมาย ถึงเป็นเยาวชนที่เป็นแบบอย่างในการเสียสละถือเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เยาวชน

ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทหารได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิที่ยังเป็นเยาวชนนั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่กระทำเกินกว่าเหตุ ด้วยประเทศไทยมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 พระราชบัญญัติ (พรบ)ศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 เป็นต้น ซึ่งได้กําหนดมาตรการต่างๆ ที่สําคัญเพื่อคุ้มครองเด็กทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ชื่อเสียง หรือสิทธิประโยชน์อื่นของเด็ก เช่น ห้ามบุคคลใดกระทําการอันเป็นการทารุณกรรมเด็ก และกำหนดให้มีการปกป้องคุ้มครองเด็กไทย ทั้งหมดไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย มีชาติพันธุ์ หรือนับถือศาสนาใด และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้ “จะไม่มีเด็กคนใดได้รับการทรมาน หรือถูกปฏิบัติ หรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือต่ำช้า จะไม่มีการลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตที่ไม่มีโอกาสจะได้รับการปล่อยตัว”

เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.)เป็นเครือข่ายที่ทำงานด้านการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมในชนเผ่าพื้นเมือง และภาคีองค์กรและเครือข่ายที่ทำงานเพื่อความเป็นธรรมในสังคมไทย ขอแถลงท่าทีและเรียกร้องดังต่อไปนี้
1. เราขอประณามการกระทำที่เจ้าหน้าที่ทหารที่ได้วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส ถือเป็นการกระทำโหดร้ายป่าเถื่อนและไร้สิทธิมนุษยธรรม
2. เราขอเรียกร้องต่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายชัยภูมิ ป่าแส ถูกเจ้าหน้าที่ทหารวิสามัญฆาตกรรมในครั้งนี้ โดยเร่งด่วน
3. ขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนมีมาตรการและกลไกในการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ และคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและญาติผู้ตายและเพื่อนผู้ตายที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในขณะนี้ อย่างเร่งด่วน