เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ที่ห้อง 604 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพ ฯ ตัวแทนกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มสิทธิเด็ก กลุ่มดินสอสี มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มเยาวชนดีจังยังทีม เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เพื่อขอให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมเพื่อสังคมชาวลาหู่พร้อมกับการดำเนินงานเชิงรุก เพื่อยุติความรุนแรงและการข่มขู่คุกคามที่เกิดขึ้นกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ครอบครัวของผู้เสียชีวิต พยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ นักพัฒนา บุคคลและกลุ่มบุคคล ตลอดจนชุมชนที่เกี่ยวข้อง โดยมีอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
นางอังคณา กล่าวภายหลังการรับหนังสือว่า ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 กรณีผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับคดีความใด ๆ ที่กระบวนการสืบสวนสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ หรือคดียังไม่สิ้นสุด ให้คิดเสมอว่าบุคคลนั้นยังบริสุทธิ์ ดังนั้นกรณีนายชัยภูมิ ป่าแสที่ถูกวิสามัญฆาตกรรมและมีการออกมาให้ข่าวจากหลายภาคส่วนในเชิงกล่าวหา ถือว่าชี้นำสังคมให้ผู้เสียชีวิตเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นดั่งการเลือกปฏิบัติกับเยาวชนชาติพันธุ์ กรณีนี้ตามหลักสากลเป็นการละเมิดสิทธิ์อย่างมาก และการทำงานของกสม.จะไม่มองหรือตรวจสอบเพียงแค่สิทธิพลเมืองทั่วไปเท่านั้น แต่ในกรณีของชัยภูมิ จำเป็นต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่า เขาเป็นเยาวชน เป็นนักกิจกรรม เป็นชาติพันธุ์ และเป็นบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน (ผู้ถือบัตรเลข 0) ที่เคลื่อนไหวหลายประเด็นเพื่อปกป้องสิทธิพลเมือง สิทธิเด็ก รวมทั้งการต่อสู่เรียกร้องด้านสัญชาติแก่เด็กและเยาวชนไร้สัญชาติด้วย
นางอังคณา กล่าวด้วยว่า จากการรับเรื่องร้องเรียนวันนี้ทราบว่า มีนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนหลายคนที่เคลื่อนไหวร่วมกับชัยภูมิ ถูกคุกคาม ดังนั้น กสม.นอกจากจะตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีกระบวนการยุติธรรมที่พึงมีต่อชัยภูมิแล้ว จะอาจจะหาโอกาสลงพื้นที่ไปเยี่ยมนักเคลื่อนไหวรายอื่นที่ถูกข่มขู่คุกคามด้วย เพราะผู้ที่มีชีวิตอยู่ย่อมมีความเสี่ยงถูกละเมิดเช่นกัน รวมทั้งอาจจะเข้าพบเพื่อนของชัยภูมิ (นายพงศนัย แสงตะหล้า อายุ 19 ปี ที่อยู่ระหว่างการควบคุมตัว) ซึ่งต้องขออนุญาตไปพบตามกระบวนการที่ถูกต้อง และอาจจะลงพื้นที่ไปยังชุมชนเพื่อพบบุคคลใกล้ชิด พยานที่อาจจะเกี่ยวข้องกับชัยภูมิด้วย
“ไปให้กำลังใจเขาหน่อยก็ดี ให้รู้ว่าทุกสิ่งที่เขาทำเป็นประโยชน์ต่อสังคม มีผลดีในด้านการต่อสู้คดี บางส่วนที่เกี่ยวกับคดีความโดยตรง องค์กรด้านกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิคงให้ความช่วยเหลือไปตามกระบวนการ กรณีจะเข้าข่ายการคุ้มครองสิทธิพลเมืองในทางสากล อีกทั้งเป็นพลเมืองที่อยู่ห่างไกลด้วย” นางอังคณา กล่าว
ด้านนางสาวรัตนาภรณ์ เจือแก้ว ตัวแทนจากกลุ่มดีจังยังทีม กล่าวว่า พวกเราโตมากับชัยภูมิ เราอยากให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนเป็นไปอย่างยุติธรรม และไม่เห็นด้วยกับกรณีแม่ทัพภาคที่ 3 ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะส่งเสริมความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน แต่ควรพูดกันด้วยข้อเท็จจริงที่ผ่านการสืบสวนสอบสวนแล้ว
ขณะที่นายเกรียงไกร ชีช่วง ผู้แทนคณะกรรมการสภาชนเผ่าพื้นเมือง กล่าวว่า ฝ่ายรัฐพยายามห้ามไม่ให้พยานฝั่งชาวบ้านให้ข่าวกับสื่อมวลชน โดยอ้างว่าจะส่งผลให้ผิดรูปคดี ทำให้หลายคนกลัว หวาดระแวง แต่ผู้มีอำนาจกลับออกมาให้ข่าวในลักษณะชี้นำสังคมให้ร่วมตัดสินว่าชัยภูมิผิดจริง ทั้งที่ยังไม่เปิดเผยหลักฐาน ซึ่งการตัดสินเช่นนี้ เท่ากับรัฐพยายามให้ข้อมูลฝ่ายเดียว จึงอยากให้ กสม.ร่วมตรวจสอบด้วยว่า กรณีเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์หรือไม่
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า กรณีนี้ทนายความจำเป็นต้องทำงานเป็นสองส่วน คือ ไต่สวนการเสียชีวิตของชัยภูมิ และไต่สวนข้อเท็จจริงของเพื่อนชัยภูมิ ที่ถูกควบคุมตัว เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าถึงความยุติธรรม ซึ่งกระบวนการสืบสวนสอบสวนควรเป็นการดำเนินภายใต้กรอบกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่ปัจจุบันคดีนี้กลับขึ้นอยู่กับฝ่ายรัฐที่ใครหลายคนจะมาพูดออกสื่อเมื่อใดก็ได้ การให้ข่าวในด้านเดียวตอนนี้ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นการชี้นำให้สังคมตัดสินนายชัยภูมิกับพวกเร็วเกินไป นอกจากนี้หลักฐานที่รัฐนำมาอ้างว่านายชัยภูมิมีอาวุธในครอบครองพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่มีพยานออกมาเปิดเผยว่า พบเห็นการซ้อมและทารุณกรรมนายชัยภูมิก่อนจะวิสามัญนั้นค่อนข้างขัดแย้งกัน ซึ่งในทางกฎหมายดูไม่สมเหตุสมผลนัก ดังนั้นฝ่ายสืบสวนสอบสวนต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์อะไรคือข้อเท็จจริงไม่ใช่ออกมาให้ข่าวทุกวันเพื่อทำให้คนเชื่อว่านายชัยภูมิเป็นผู้ร้าย
//////////////