เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 เวลา 13.00 น. นายบุญยัง จำปาขาว อายุ 42 ปี หนึ่งในผู้ประสบปัญหาด้านสถานะบุคคลกรณีลูกพ่อไทยที่เกิดในลาว ชาวบ้านบะไห ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ได้เดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอโขงเจียม เพื่อดำเนินการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรและทำบัตรประชาชน ภายหลังต้องต่อสู้เรียกร้องสิทธิการมีสัญชาติไทยมานานเกือบ 10 ปี
นายบุญยัง กล่าวว่า พ่อของตนเป็นคนไทยในพื้นที่จังหวัดอุบาลราชธานี ซึ่งคนริมฝั่งโขงสมัยนั้นข้ามไปมาหาสู่กันระหว่างคนฝั่งไทยและคนฝั่งลาวเป็นปกติ ผมจึงเกิดในฝั่งลาวเมื่อปี 2517 แล้วจึงข้ามกลับมาอาศัยอยู่ในฝั่งไทย จึงทำให้ตนกลายเป็นคนไทยที่ตกหล่น ต่อมาเมื่อมีกฏหมายสัญชาติออกมาในปี 2551 ตนและชาวบ้านจำนวนหนึ่งจึงได้พยายามเรียกร้องสิทธิการเป็นคนไทยเรื่อยมา แต่ขั้นตอนก็ล่าช้าใช้เวลาดำเนินการอยู่หลายปี จนได้รับแจ้งจากทางอำเภอโขงเจียมให้มาดำเนินการทำบัตรประชาชนในวันนี้
“วันนี้เป็นวันที่ตนเองมีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะได้มีบัตรประชาชนและจะได้มีสิทธิเหมือนคนไทยทั่วไป ซึ่งไม่ต้องลำบากเหมือนเมื่อก่อนที่เวลาไม่สบายก็ไม่กล้าไปโรงพยาบาบาล จะเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดก็ไม่ได้ ต้องอยู่แต่ในพื้นที่” นายบุญยัง กล่าว
ด้านนายประสิทธิ์ จำปาขาว น้องชายต่างมารดาของนายบุญยัง ที่เคยเป็นคนไทยที่ตกหล่นแต่ได้รับสัญชาติแล้วเมื่อปี 2554 ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับพี่ชายในวันนี้ กล่าวว่า พี่ชายพยายามเรียกร้องสิทธิการมีสัญชาติไทยมานาน จนกระทั่งเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์และตรวจดีเอ็นเอ และได้ยื่นคำร้องเพื่อยื่นเรื่องพิสูจน์ความเป็นลูกพ่อไทยกับอำเภอโขงเจียมครั้งแรกในปี 2551 แต่เรื่องไม่คืบหน้า และเมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่อำเภอ เอกสารหลักฐานที่ยื่นไปได้สูญหาย ทำให้ต้องยื่นคำร้องเป็นครั้งที่ 2 จนมีการเขียนคำร้องถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทางอำเภอจึงได้เรียกพี่ชายให้เข้าไปเขียนคำร้องและยื่นหลักฐานเป็นครั้งที่ 3 กระทั่งในปี 2559 ได้มีการสอบปากคำพยาน และเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ และได้รับแจ้งจากอำเภอโขงเจียมว่าจะมีการเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรในวันนี้
“บางคนรอมาทั้งชีวิตเพราะเป็นสิ่งเดียวที่เดียวเฝ้ารอ แต่ยังมีชาวบ้านอีกเยอะโดยเฉพาะกรณีมาตรา 23 เหมือนพี่ชาย ที่ยังรอพิสูจน์สัญชาติ แต่เรื่องก็ยังล่าช้าอยู่ที่อำเภอ” นายประสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายศิระศักดิ์ คชสวัสดิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนคนฮักน้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ปัจจุบันอุปสรรคในการแก้ปัญหาด้านสัญชาติของกลุ่มคนลาวอพยพได้คลี่คลายไปพอสมควร โดยเฉพาะประเด็นด้านกฏหมายที่เพิ่งมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 และมีการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยตามมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560 ทำให้แก้ปัญหาได้ครอบคลุมมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการยังติดขัดในขั้นตอนของการปฏบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอบางส่วน ที่ยังขาดความเข้าใจปัญหาและมีทัศนคติมองกลุ่มคนลาวอพยพแบบเป็นอื่น รวมทั้งมีการทำงานแบบปกป้องตัวเอง เพราะกังวลว่าจะปฏิบัติผิดขั้นตอนของกฏหมายจนทำให้มีความผิดทางวินัย ซึ่งเป็นเหตุให้การแก้ปัญหานี้ใช้เวลายาวนาน
“เจ้าหน้าที่ต้องทำงานเรื่องนี้อย่างเข้าใจ และตามกระบวนการขั้นตอน แต่ที่ผ่านมาไม่ได้มีการปฏิบัติอย่างนั้น เช่น ชาวบ้านไปยื่นคำร้องก็ควรมีเอกสารตอบรับ เพื่อเป็นหลักฐานและรู้ระยะดำเนินการที่ชัดเจน ไม่ใช่พอเปลี่ยนนายอำเภอ หรือเจ้าหน้าที่แล้ว บอกว่าเอกสารหลักฐานหายไปแล้ว ต้องยื่นเรื่องใหม่ตั้งแต่ต้น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้กระบวนการล่าช้า” นายศิระศักดิ์ กล่าว
นายศิระศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการลงไปสำรวจปัญหาและทำงานกับชุมชนใน 3 อำเภอ คือ อำเภอโขงเจียม อำเภอบุณฑริก และอำเภอโพธิ์ไทร พบผู้ประสบปัญหาทางสถานะบุคคลประมาณ 900 คน ส่วนข้อมูลการสำรวจของจังหวัดอุบลราชธานีพบผู้ประสบปัญหาประมาณ 8,000 คน ส่วนที่บ้านบะไห ยังมีชาวบ้านที่ประสบปัญหาและเข้ายื่นคำร้องกับทางอำเภอโขงเจียมอีก 17 ราย สำหรับประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เพิ่งประกาศมาเมื่อเดือนมีนาคม ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่รู้เรื่องและเจ้าหน้าที่ยังขาดความเข้าใจ จึงอยากให้ทางอำเภอเร่งเข้าไปให้ข้อมูลในพื้นที่ด้วย