เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 นางจันทร โพธิ์จันทร์ สมาชิกเครือข่ายไทบ้านไร้สิทธิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าถึงผลกระทบจากแผนแม่บททวงคืนผืนป่า ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า นับตั้งแต่มีการปฏิบัติการในปี 2557 เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้บุกทวงพื้นที่และดำเนินคดีกับชาวบ้านในเครือข่ายไทบ้านไร้สิทธิ์ จังหวัดสกลนคร 33 ราย ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดงชมภูพานและดงกระเฌอ โดยศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 1-3 ปีจำนวน 29 ราย ซึ่งชาวบ้านทยอยสู้คดีและยื่นอุทธรณ์ต่อเนื่องกระทั่งบางส่วนได้รับการปล่อยตัว ล่าสุดเหลือจำคุกอยู่ขณะนี้ 5 ราย นอกจากนั้นยังมีชาวบ้าน 2 ราย ที่คดียังไม่ถึงที่สุดและอยู่ระหว่างการต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา คือ นายสิน เงินภักดี และนางสุรัตน์ ศรีสวัสดิ์ และรอดูว่าศาลฎีกาจะนัดฟังคำพิพากษาเมื่อไหร่
นางจันทรกล่าวว่า กรณีของนายสินนั้น ที่ต้องสู้ในชั้นฎีกา เพราะเขาเองมีที่ดินแค่4 ไร่ แต่เจ้าหน้าที่ทวงคืนรายงานและแจ้งข้อมูลว่า นายสินบุกรุก 54 ไร่ ซึ่งนายสินสารภาพกับศาลชั้นต้นและยอมรับว่าบุกรุกจริงแค่ 4 ไร่ส่วนที่ดินที่เกินมามากเกินไปนั้นรับไม่ได้ ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ต่างก็ยึดตามเอกสารของรัฐหมด ทั้งที่แกไปนำชี้ก็นำชี้แค่ 4 ไร่ และนายสินเองก็ยังไม่รู้ว่าที่ดินส่วนเกินมานั้นอยู่ตรงไหน อีกอย่างโทษจำคุกหนักเกินไป คือ นานประมาณ 8 ปีก็เลยยืนยันเดินหน้าสู้คดีต่อ ส่วนนางสุรัตน์นั้น เห็นว่าตัวเองได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ช่วงนำชี้จุดครอบครองที่ดิน ว่า ใครที่มีที่ดินเกิน 25 ไร่ ทางครอบครัวจึงกระจายสิทธิ์ที่ดินให้แก่คนใกล้ชิด ซึ่งนางสุรัตน์ก็รับสิทธิ์มาและทำกินโดยไม่เจตนา จึงอยากจะสู้คดีต่อไป
สมาชิกเครือข่ายไทบ้านไร้สิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การทวงคืนผืนป่าและจับกุมชาวบ้านก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้รวมกลุ่มกับเครือข่ายฯ ซึ่งถูกทวงคืนที่ดินรวมกันประมาณ 21แปลง ชาวบ้านก็ต่อสู้ไปตามความสามารถของตนเอง แต่สำหรับสมาชิกเครือข่ายฯ ที่รวมตัวกันนั้นล่าสุด ชาวบ้านในภาคอีสานที่ประสบปัญหาคล้ายกันได้ประชุมร่วมเครือข่ายภาคี นักวิชาการ และนายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2560 ซึ่งมีข้อสรุปประเด็นการประชุมร่วม 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ให้มีคณะทำงานร่วม ลงพื้นที่เพื่อการสืบค้น เก็บข้อมูล คัดแยกติดตามตามความเร่งด่วนของพื้นที่และกรณีต่างๆ
นางจันทร กล่าวต่อว่า 2.ให้มีการลงพื้นที่เพื่อดูข้อเท็จจริงร่วมกัน โดยจะมีการนัดหมาย 15 วัน / ครั้ง ครั้งแรกนัดวันที่ 8 สิงหาคม 2560 3.มีกลไกการเชื่อมต่อ ในระดับนโยบาย และเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงาน4.ให้ใช้คำสั่งที่ 66 / 2557 มาพิจารณา อย่างละเอียด ในทุกกรณี อีกทั้งอธิบดีกรมป่าไม้ยังได้มอบหมายให้หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร ประสานกับองค์กรชาวบ้าน เพื่อเข้าร่วมประชุมหารือเพื่อรับทราบข้อมูลและเพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไปด้วย การประชุมดังกล่าวเป็นผลมาจากที่รัฐมนตรี ทส.ได้ยืนยันมาตลอดว่า นโยบายทวงคืนผืนป่ามุ่งเอาผิดนายทุน แต่ในทางปฏิบัตินั้นมีชาวบ้านยากจนมากมายที่ได้รับผลกระทบ อันนำมาสู่การออกแถลงการณ์ของเครือข่ายชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่าในภาคอีสาน ให้ยกเลิก “นโยบายทวงคืนผืนป่า” ทั่วประเทศ เนื่องจากนโยบายดังกล่าวถูกเลือกปฏิบัติ อาทิเช่น การโค่นตัดยางพารา การดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกับชาวบ้าน รวมทั้งขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ทับซ้อน