เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ที่สำนักงานกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง รองอธิบดี กพร. กล่าวในการแถลงข่าวเรื่องการประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พรบ.) แร่ พ.ศ. 2560 ว่า พรบ.แร่ ฉบับใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 สิงหาคม 2560 หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษามาตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2560
รองอธิบดีกพร.กล่าวว่า กระบวนการทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของพรบ.ดังกล่าว แต่ว่าในขณะนี้ทางกรมมีข้อมูลการขออาชญาบัตร ประทานบัตร และขอต่ออายุเหมืองแร่จากเอกชนต่างๆทั้งรายเก่าและใหม่ได้ยื่นคำขอมาก่อนหน้านี้ ซึ่งยังค้างการอนุมัติอยู่ประมาณ 40 ราย ส่วนใหญ่เป็นประเภทหินก่อสร้าง หินปูน ยิปมซั่ม ฯลฯ โดย 40 ราย ดังกล่าวนี้ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นมาพอสมควรแล้ว คาดว่าน่าจะเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมให้อนุมัติตาม พรบ.แร่ฉบับเดิมได้ แต่ยังไม่มีอะไรแน่นอน ยังต้องดูกระบวนการอีกที ขณะเดียวกันกำลังเสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาผ่อนปรนในกรณีที่ไม่สามารถอนุญาต อนุมัติได้ทันก่อนวันที่ 29 สิงหาคม นี้เพราะเห็นว่าขั้นตอนต่างๆทำมาพอสมควรและมีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจเพราะเป็นแร่ที่เป็นต้นในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในประเทศ
นายวิษณุ กล่าวว่าในส่วนของเหมืองแร่ทองคำนั้นจากคำสั่งของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.)ที่ใช้อำนาจมาตรา.44 สั่ง ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับประทานบัตร และใบอนุญาตทุกประเภท ยุติการดำเนินการกิจการเหมืองแร่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 นั้น ขณะนี้มีผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำยื่นขออาชญาบัตร ประทานบัตร รวมทั้งการต่ออายุกิจการเหมืองแร่ทองคำทั้งหมดจำนวน 13 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัดประมาณ 100 แปลงบนพื้นที่ประมาณกว่า 30,000 ไร่ การพิจารณาขั้นสุดท้ายนั้นคงจะต้องอยู่ที่การตัดสินใจของคสช. พรบ.ฉบับใหม่นี้จะมีผลหรือจะช่วยให้เป็นไปในทิศทางใดนั้น รวมทั้งรายละเอียดเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ การขอดำเนินกิจการต่อเพราะใบอนุญาตยังไม่หมดอายุ และรวมไปถึงทิศทางการเดินหน้ากิจการนั้นยังไม่สามารถแจ้งรายละเอียดได้
“กรณี เหมืองแร่ทองคำบริษัทอัครา ไมนิ่ง จำกัด (มหาขน)ที่ครม.ให้ยุติดำเนินการทั้งหมดตั้งแต่ปลายปี 2559 นั้นยอมรับว่ายังไม่มีข้อมูลที่ชี้ชัดเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง รวมถึงกรณีบ่อกากแร่รั่วหรือไม่รั่วแม้จะให้ญี่ปุ่นมาช่วยศึกษาแต่ผลการศึกษาไม่ได้ทิ้งการวิเคราะห์ไว้ทำให้ต้องเชิญมาหารือใหม่ อย่างไรก็ตามกรณีทั้งหมดกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังพิจารณายังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะความลับราชการ”นายวิษณุกล่าว
รองอธิบดี กพร.กล่าวเพิ่มว่า สาระสำคัญของ พรบ.แร่ฉบับใหม่นี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนคนไทย มีความเข้มงวดกว่าเดิม เช่น มีบทลงโทษที่หนักขึ้นในกรณีทำผิดกฎหมาย โดยหากผู้ใดละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามตข้อบังคับ จะมีโทษปรับ 30 เท่าของอัตราโทษ และมีโทษทางอาญาที่นานออกไปจาก3 ปีเป็น 5 ปี นอกจากนั้นสาระด้านอื่นก็มี เช่น กำหนดพื้นที่ที่สงวนหวงห้ามหรืออนุรักษ์ไว้โดยจะต้องไม่ใช่พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตโบราณสถาน พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซึมซับ พื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ หรือพื้นที่ที่กฎหมายห้ามเข้าใช้ประโยชน์โดยเด็ดขาด
“พรบ.ฉบับปัจจุบันการอนุญาตกิจการเหมืองแร่ประเภทใด พื้นที่ใดก็ตาม คือ นอกจากหน่วยงานราชการอนุญาตแล้ว คือ ต้องได้รับอนุญาตจากสังคม จากคนในพื้นที่ด้วย และการสำรวจพื้นที่เหมาะแก่การทำเหมืองแร่นั้นเบื้องต้นให้สิทธิรัฐประเมินก่อนว่าพื้นที่ใดควรทำได้ ทำไปแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม ต้องผ่านการคัดเลือกจากหน่วยงานรัฐก่อน แล้วค่อยให้เอกชนสำรวจต่อ ก่อนขออนุญาตประทานบัตร อาชญาบัตร โดยประเภทของเหมืองแร่ตาม พรบ.ฉบับใหม่นี้มี 3 ประเภท คือ 1 ขนาดไม่เกิน 100 ไร่ ผลกระทบน้อย ให้ท้องถิ่นอนุมัติได้ เหมืองประเภทที่ 2 พื้นที่ไม่เกิน 625 ไร่ ผลกระทบจะมีมากขึ้น ขั้นตอนก็จะซับซ้อนขึ้น ส่วนประเภทที่ 3 คือ เหมืองใต้ดิน ในทะเล พื้นที่ใหญ่ มีเทคนิคซับซ้อน จะมีคณะกรรมการแร่ซึ่งมีตัวแทนเอกชน ประชาชนเข้ามาร่วมตัดสินใจด้วย ส่วนของบริษัทที่ได้รับการอนุญาตนั้นจะมีบทบัญญัติของการกำหนดการฟื้นฟูเหมือง ภายหลังทำเหมือง ภายหลังปิดเหมืองด้วย ต้องมีการดูแลช่วงเวลาหนึ่งโดยการวางหลักประกันในการฟื้นฟูเหมืองเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบกิจการต้องมีเงินก้อนหนึ่งที่เยอะพอสมควร เพื่อเป็นหลักประกันและกพร.ต้องเข้าถึงได้ เพื่อจะนำมาจัดการและเยียวยาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้” รองอธิบดี กพร. กล่าว