เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ที่โรงแรมรามาการ์เด้น วิภาวดี คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาและพัฒนากฎหมาย กรมส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม และกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ…….. โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปร่วมประชุมประมาณ 300 คน
นายเดช พุ่มคชา คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาและพัฒนากฎหมาย กล่าวว่า เวทีรับฟังความเห็นต่อ พ.ร.บ ในภาคประชาชนครั้งนี้เป็นครั้งแรก และเป็นสัญญาณของการสร้างกระบวนการระดมความคิดเห็นที่มีตัวแทนภาคประชาชนจาก 4 ภาคของประเทศไทยเข้าร่วม โดยเท่าที่เปิดเวทีรับฟังพบว่า ผู้มาเสนอความคิดเห็นต่อ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม มีทุกกลุ่มและมีความหลากหลาย และส่วนมากให้ความสำคัญกับนิยามขององค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฝ่ายกลั่นกรองกฎหมายนั้นอาจจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่า องค์กรภาคประชาสังคมนั้นตั้งขึ้นภายใต้เงื่อนไขได้บ้าง ทั้งนี้จากการประเมินหรือคาดคะเนจำนวนของกลุ่มและองค์กรที่ทำงานด้านประชาสังคม ทั้งแบบธุรกิจเพื่อสังคม องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรการกุศลทุกรูปแบบรวมกันเชื่อว่ามีราว 50 กลุ่ม/องค์กร ในแต่ละจังหวัดของไทย แต่หากกฎหมายผ่านไปสู่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) และได้รับการพิจารณาอาจจะกลั่นกรองเพิ่มเติมอีก และแยกแยะ ซึ่งอาจจะไม่มากมายนัก แต่นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก
“อธิบายกันง่าย ๆ นะ ช่วงนี้คือเราจะเห็นการคัดค้านการดำเนินการขององค์กรต่าง ๆ มากมาย เช่น เอ็นจีโอบางกลุ่มโดนเอ็นจีโออีกกลุ่มมาโจมตีว่าทำงานไม่โปร่งใส ไร้จริยธรรม ซึ่งพอมีพ.ร.บ.ฉบับนี้จะไปช่วยลดแรงต้านตรงนั้น เพราะว่าภาคประชาชนมาออกแบบกฎหมายเพื่อคุ้มครอง ป้องกัน และควบคุมกันเอง ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบกันเองได้ ในกรณีพบความผิดปกติ และทำงานร่วมกันได้ ในกรณีผลักดันเชิงนโยบายภาคประชาชน” นายเดช กล่าว
นายเดช กล่าวต่อว่า พ.ร.บ.บัญญัติส่งเสริมและพัฒนาภาคประชาสังคมมีวัตถุประสงค์มุ่งส่งเสริมให้องค์กรภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วนกับภาครัฐในการพัฒนาประเทศ อันนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กำหนดแนวทางการส่งเสริมภาคประชาสังคมให้มีความเข้มแข็ง มีการปฏิบัติงานอย่างมีธรรมาภิบาล สามารถพึ่งตนเองได้ และสามารถเป็นหุ้นส่วนกับภาครัฐในการดูแลสังคมให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน
ด้านนางสุนี ไชยรส คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาและพัฒนากฎหมาย กล่าวว่า การรับฟังความคิดเห็นวันนี้เป็นการปฏิบัติตามมาตรา 77 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับกฎหมายที่จำเป็น ซึ่งผลจากการรับฟัง คือ ภาพรวมเห็นเครือข่ายประชาชนหลายกลุ่มมารวมตัวกัน เช่น เครือข่ายผู้หญิง เครือข่ายด้านศาสนา สิ่งแวดล้อม ชาติพันธุ์ ซึ่งเครือข่าย องค์กร หรือกลุ่มเหล่านี้เวลาทำงานจริงๆ นั้นจะทำแบบแยกส่วน แต่เมื่อเรามีการร่างกฎหมายขึ้นมา เราได้เห็น ได้ยินชัดว่าพวกเขาต้องการอะไร ดังนั้นหลังจากรับฟังวันนี้ คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาและพัฒนากฎหมาย จะเสนอให้คสป.ต่อไป เพื่อให้กลั่นกรองอีกที
“ส่วนมากกังวลเรื่ององค์กรแอบแฝง ที่เป็นองค์กรของกลุ่มธุรกิจ การเมือง ที่ก่อตั้งไม่นานแต่มารับทุน รับเงินจากภาคธุรกิจ การเมือง เพื่อไปดำเนินการสนองนโยบาย ส่วนนี้คนก็ให้ความสนใจเยอะ เชื่อว่าพี่น้องภาคประชาชนที่ตั้งองค์กรเพื่อทำงานด้านสังคมจริง ๆ ค่อนข้างห่วงใย ดังนั้นนิยาม ตรงนี้เราจะต้องไปปรับปรุงให้ชัดเจนและลงรายละเอียดมากขึ้น นอกจากนั้นมีคนห่วงเรื่องอนุกรรมการ ซึ่งคนทักท้วงว่า สัดส่วนของอนุกรรมการภาครัฐมากไป และภาคประชาชนน้อยไป อยากให้เพิ่มสัดส่วนประชาชนเพราะกฎหมายนี้เป็นกฎหมายเพื่อประชาชน ซึ่งอาจจะไปเพิ่มในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมที่มีวัตถุประสงค์ด้านการพัฒนาสังคมและมีผลการดาเนินงานที่หลากหลาย ซึ่งทุกความเห็นอนุกรรมการด้านการศึกษากฎหมายของเราจะไปดูและสกัดข้อมูลเพิ่มเติม” นางสุนี กล่าว
นายธนรัช ใกล้กลาง ตัวแทนจากมูลนิธิข้าวขวัญ กล่าวว่า การจะออกกฎหมายให้ดีนั้น ส่วนตัวมองว่า เรื่องของนิยามความหมายที่ระบุว่าองค์กรภาคประชาสังคมหมายถึงอะไรต้องพยายามสกัดองค์กรที่มาในรูปการก่อตั้งเพื่อรองรับธุรกิจสร้างกำไรในเอกชนให้ดี เพราะกลุ่มนี้มีเงินเพื่อไปทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR ซึ่งหากให้เงินหรือให้กองทุนกลุ่มนี้เท่ากับไปส่งเสริมธุรกิจนั้น ๆ
ขณะที่นายสมิทธิ์ เย็นสบาย มูลนิธิสระแก้วสีเขียว กล่าวว่า อยากให้การร่างกฎหมายชี้ชัดไปว่า องค์กรภาคประชาชนที่จัดตั้งโดยภาครัฐ เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พอช. เป็นต้น องค์กรดังกล่าวสามารถเป็นองค์กรตามความหมายขององค์กรประชาสังคมในกฎหมายหรือไม่ เพราะองค์กรกลุ่มนี้เจตนาดี แต่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลชัดเจน แล้วถ้ารับกลุ่มนี้มา จะช่วยประเมินและกลั่นกรองอย่างไร
นายประดิษฐ์ เลี้ยงอยู่ เครือข่ายสร้างบ้านแปงเมืองพะเยา กล่าวว่า กรณีการตรวจสอบองค์กรว่าเข้าเงื่อนไของค์กรภาคประชาสังคมหรือไม่ อยากให้มีการวางเงื่อนไขชัดเจนว่า ให้เป็นองค์กรที่มีผลงานเชิงประจักษ์ และมีผลงานมานานหลายปี ไม่ใช่แค่องค์กรจัดตั้งขึ้นมาเพื่อขอรับทุนเฉพาะกิจเป็นโครงการย่อย ในส่วนของกรรมการก็เช่นกัน อยากให้ระบุด้วยว่าต้องการคนมีผลงานมากน้อยเพียงใด
นางอรนุช ผลภิญโญ เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน กล่าวว่า กรณีการระบุนิยามและขอบเขตการทำงาน อยากให้เพิ่มถึงประเภทขององค์กรภาคประชาสังคมด้วยว่ามีด้านใดบ้าง เช่น ด้านสิทธิ ด้านทรัพยากร ด้านการอนุรักษ์ ด้วย คือให้ระบุเรื่องขอบเขตการรับทุนให้ชัดเจน
นายไพศาล ลิ้มสถิต อนุกรรมการด้านกฎหมาย กล่าวว่า อยากย้ำเรื่องกฎหมายฉบับนี้ว่า มุ่งส่งเสริมการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมที่มีการจดแจ้งอย่างถูกต้อง และรับเงินในรูปแบบองค์กร ไม่ใช่รูปแบบประเด็น ดังนั้นหนึ่งองค์กรถ้าจะทำหลายประเด็นก็ได้ แต่ขอกองทุนสนับสนุนในรูปแบบเดียว เช่น เป็นมูลนิธิ เป็นสมาคม ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนด้วย การช่วยเหลือด้านความมั่นคง คุณภาพชีวิตด้วย ทั้งนี้หากองค์กรนั้นจัดตั้งโดยภาคธุรกิจ ภาครัฐ จะต้องมีการเขียนคุณสมบัติเพิ่มเติม