
ชาวมุสลิมโรฮิงญาที่เขต “ฉ่วยซาร์” ในเมืองมงดอว์ ทางเหนือของรัฐอาระกัน หรือรัฐยะไข่ เปิดเผยว่า พวกเขาไม่ยอมรับกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญา ARSA ที่พยายามเกณฑ์ชาวบ้านในพื้นที่ก่อเหตุความรุนแรง โดยในเขตพื้นที่นี้มีประชากรอาศัยอยู่ราว 13,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม และมีชาวบ้านบางส่วนที่เป็นชาวฮินดูอาศัยอยู่ด้วย ขณะที่สถานการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของประเทศยังดำเนินต่อไป และทางการยังคงปฏิบัติการยึดพื้นที่และกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาอย่างต่อเนื่อง โดยสถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นาย Sarad Ah Mein หมอจากหมู่บ้าน ฉ่วยซาร์ คัด ปะ ก่าว ได้เปิดเผยว่า ทางกลุ่ม ARSA ได้เข้ามาหาคณะกรรมการหมู่บ้านก่อนเกิดเหตุ เพื่อมาเกณฑ์คนไปก่อเหตุรุนแรง”พวกเขามาช่วงกลางดึก แต่ทางเราก็ได้ปฏิเสธการระดมคนเพื่อก่อการร้าย” โดยทางกลุ่มถูกประกาศให้เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายหลังโจมตีสถานีตำรวจและด่านตรวจ 30 แห่ง จนทำให้กองทัพพม่าต้องเข้ามาปฏิปัติการกวาดล้างในพื้นที่ และทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 146,000 คนต้องหนีไปยังบังกลาเทศ ตามข้อมูลขององค์การสหประชาชาติระบุ ขณะที่รัฐบาลพม่าเองก็เปิดเผยข้อมูลว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นทีีก็ส่งผลกระทบกับชาวพุทธและชาวฮินดูต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน (IDP)
“เราได้บอกกับพวกเขาว่า ได้โปรดอย่าสร้างความวุ่นวายให้หมู่บ้าน หากคุณทำเช่นนั้น เราทั้งหมดจะต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ได้โปรดจงกลับไป เราได้อยู่ร่วมกันมากับชาวพุทธยะไข่ และเราไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน และเราก็ยังอยากให้อยู่ร่วมกันเช่นนั้น” นอกจากนี้นาย Sarad Ah Mein ยังเปิดเผยว่า การกล่าวหาทางกลุ่ม ARSA ในด้านลบนั้นเป็นการกระทำที่อันตรายเสี่ยงถึงชีวิต เช่นเดียวกับชาวบ้านอีกรายหนึ่งอย่างนาย Mumud Jolly ที่กล่าวยืนยันว่า ทางคณะกรรมการของหมู่บ้านได้ปฏิเสธกลยุทธ์ของทางกลุ่ม ARSA “เราไม่ยอมรับพวกเขาและไม่สนับสนุนพฤติกรรมก่อการร้าย นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากจะพูด” เขากล่าว
จากข้อมูลของทางการพม่า มีชาวมุสลิมจำนวน 63 คนที่ถูกฆ่า ซึ่งเชื่อว่าอาจถูกกลุ่ม ARSA เป็นผู้ลงมือสังหารระหว่างช่วงเดือนตุลาคมของปีที่แล้วที่มีการโจมตีด่านตรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งแรก ขณะที่นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางรัฐบาลพม่าได้โต้ตอบกลุ่ม ARSA ด้วยปฏิบัติการทหารที่รุนแรงขึ้นในพื้นที่ จนทำให้มีการโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ในชุมชนทางเหนือของรัฐอาระกัน และยังคงเกิดเหตุความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ด้านชาวบ้านบางส่วนที่ติดอยู่ในหมู่บ้านของพวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน
ขณะที่เมืองมงดอว์ เมืองชายแดนที่เป็นเมืองการค้า ในตอนนี้กลับเงียบเหงา มีเพียงร้านค้าไม่กี่แห่งที่ยังเปิดค้าขาย เช่นเดียวกับบ้านเรือนส่วนใหญ่ต่างก็ล็อคปิดบ้าน โดยในพื้นที่ยังถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เคอร์ฟิว แต่ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ราชการที่หนีไปอยู่ที่เมืองเมืองชิตต่วย หวึ่งเป็นเมืองหลวง ขณะนี้ได้ทยอยเดินทางกลับมาในพื้นที่แล้วตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนที่เขตฉ่วยซาร์ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการปะทะกันระหว่างชาวมุสลิมและชาวฮินดูเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา จากข้อมูลของทางการพม่าเผยว่า จนถึงขณะนี้ มีบ้านที่ถูกเผาจำนวน 6,845 หลังคาเรือนใน 60 หมู่บ้าน โดยทางรัฐบาลพม่าอ้างว่าเป็นฝีมือของกลุ่ม ARSA และกลุ่มคนที่สนับสนุน ด้าน ARSA กลับอ้างว่าเป็นฝีมือของกองทัพพม่า
นาง Munee หญิงชาวมุสลิม แม่ลูก 4 ที่อาศัยอยู่ในเขต ฉ่วยซาร์ กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่กำลังขาดแคลนอาหาร เนื่องจากตลาดปิด “เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกเราว่า ให้อยู่แต่ในหมู่บ้านและไม่ต้องกังวล” นาง Munee ยังเปิดเผยว่า สามีของเธอนั้นทำงานอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย แต่ขณะนี้เขาไม่สามารถที่จะโอนเงินมาให้เธอได้ เนื่องจากตลาด ร้านค้าและธนาคารต่างก็ปิด “ฉันไม่รู้จะพูดยังไง เราได้แต่ร้องไห้ และคิดอะไรไม่ออก เราไม่สามารถไปเมืองมงดอว์หรือหมู่บ้านอื่น ๆ ได้ เราไม่ได้รับการช่วยเหลือทั้งจากรัฐบาลและกลุ่มเอ็นจีโอ” เธอกล่าว แม้ทางการพม่าจะออกมาเปิดเผยให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่คาดว่า ความช่วยเหลือยังคงไปไม่ทั่วถึงในทุกพื้นที่
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงและเด็กยังคงเป็นคนส่วนใหญ่ที่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานในรัฐอาระกัน ขณะที่ชาวฮินดูที่อาศัยอยู่ที่ค่ายพักพิงชั่วคราวที่ทางการจัดไว้ให้ต่างก็กล่าวว่า พวกเขานั้นต้องการที่จะเดินทางกลับบ้านให้เร็วที่สุดหากเป็นไปได้ หากได้รับการรับการยืนยันว่าที่บ้านพวกเขาปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นายเยทุต เจ้าหน้าบริหารท้องถิ่นในเมืองมงดอว์กล่าวว่า เมืองมงดอว์ยังเป็นเขตพื้นที่ปฏิบัติการหรือยังคงเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ที่มา Irrawaddy
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ