เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 ที่สำนักงานกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเวทีเสวนาเรื่อง “พลังงาน สิ่งแวดล้อมและสันติภาพ : พูดความจริงกับอำนาจ” โดยเครือข่ายตือโละปาตานี เครือข่ายปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ หรือ เปอร์มาตามาส (Permatamas) โดยเครือข่ายฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 2,200 เมกะวัตต์
นายดิเรก เหมนคร เครือข่ายตือโละปาตานี กล่าวว่า เมืองเทพาเป็นเมืองปากน้ำชายทะเล ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความสำคัญมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ ก่อเกิดระบบนิเวศ ป่า เขา นา ทะเล ที่สัมพันธ์กันอย่างมหัศจรรย์และดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน เทพาไม่ใช่เมืองโดดเดี่ยว อย่างที่คนบางกลุ่มพยายามให้ความหมาย แต่เป็นพื้นที่ใจกลางที่รายล้อมไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ทั้งหาดใหญ่ สงขลา จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย โคกโพธิ์ ยะลา ยะรัง หนองจิก ปัตตานี หากเมืองเทพาเสียหาย เมืองต่างๆ ที่อยู่รายรอบอาจมีผลกระทบร้ายแรงไปด้วย ทะเลเทพาอันเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวปัตตานี หรือคนในพื้นที่เรียกกันว่า “ตือโละปาตานี” คือท้องทะเลที่เต็มไปด้วยเรือน้อยใหญ่นับพัน ชาวประมงนับหมื่นและชุมชนนับร้อยที่อาศัยอยู่ทำมาหากิน ถือเป็นแหล่งวัฒนธรรม ที่น่าศึกษาเรียนรู้อย่างยิ่งของสังคมไทย และเราจะไม่ยอมให้โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพามาทำลายแหล่งอาหารที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ
นาวสาวจริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนโยบายพลังงาน เอาชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมเป็นเดิมพันเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมถ่านหิน และจะเป็นการตัดสินใจที่ปิดโอกาสในการสร้างความเป็นธรรมในการจัดการพลังงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง สังคมไทยไม่มีที่ว่างให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกแล้ว เพราะไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ภายใต้ความตกลงปารีสที่รัฐบาลไทยให้การรับรอง เราต้องก้าวสู่ยุคพลังงานหมุนเวียนซึ่งรับประกันถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ปกป้องสิ่งแวดล้อมและสร้างสังคมที่เป็นธรรม
ขณะที่นายประสิทธิชัย หนูนวล เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน กล่าวว่า ในนามที่เป็นคนหนึ่งในท้องถิ่นภาคใต้ที่กำลังเจอภัยคุกคามจากถ่านหินด้วยกันในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช (อำเภอท่าศาลา และหัวไทร) จังหวัดกระบี่ (อำเภอเหนือคลอง) และจังหวัดสงขลา (อำเภอเทพา) น่าแปลกใจว่า 5 ปีที่ผ่านมาไทยยังคุยกันเรื่องถ่านหิน ทั้งที่โลกกำลังเดินหน้าทำนโยบายและหาพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด และยังหารือเรื่องสภาพอากาศ และพยายามกระตุ้นให้เกิดการเห็นภัยจากโรงไฟฟ้าถ่านหินเพื่อปกป้องประชากรของพวกเขา แต่แปลกที่รัฐบาลไทยไม่เคยเรียนรู้เรื่องนี้เลย แถมยังผลักดันเต็มที่ด้วยหลากหลายวิธีการต่าง ๆ นานาในช่วง5ปีที่ผ่านมา
นายประสิทธิชัย กล่าวด้วยว่า เหตุที่รัฐบาลไทยผลักดันอย่างหนักหน่วงมี 4-5 ประเด็น เช่น ประเด็นแรก คือ ไทยเอาพลังงานและการผลิตไฟฟ้าไปอยู่ในมือการบริหารของเอกชน เพื่อลดการผูกขาดของรัฐบาลและสร้างการแข่งขัน โดยของไทยองค์การที่เป็นหัวหอกเรื่องนี้ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีส่วนรับผิดชอบในการผลิตประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และอีก 60 เปอร์เซ็นต์อยู่ในมือของเอกชน ในความจริงแล้ว ถ้าอยู่ในเอกชนต้องมีความก้าวหน้าด้านการผลิตไฟฟ้าแล้ว แต่ประเทศเรากลับกัน เพราะยิ่งร่วมมือยิ่งผูกขาด เพราะแนวทางการผลิตไฟฟ้าของไทยอยู่ในกลุ่มทุนไม่เกิน 10 กลุ่ม ซ้ำร้าย คือ กติกาประเทศนี้ผลิตขึ้น คือ มีกติกาค่าความพร้อมจ่าย เวลาจะลงนามสัญญาจะมีสัญญาว่าต่อให้คนไม่ใช้เราก็ต้องจ่ายให้เอกชน ทั้งที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งปี 2559 เราเสียเงินนี้ราว 1 แสนล้านบาทให้เอกชน
“เขามีข้ออ้างทั้งเรื่องไฟไม่พอ หรือมักบอกว่าเลือกใช้เพระถ่านหินราคาถูก ถ้าเราไปดู คือ ถ่านหินถูก แต่ถ้าเราไปดูต้นทุนสุขภาพ สิ่งแวดล้อม มันไม่คุ้มค่า เพราะต้องจ่ายค่าเสียหายดังกล่าวด้วย ไม่เหมือนโซลาร์เซลล์ที่กระทบน้อย ความจริงตามข้ออ้างนี้ไม่จริง ข้อเท็จจริงมีเพียง คือ ถ่านหินที่สัมปทานไว้แล้วเป็นถ่านหินสำรอง แล้วไม่รู้จะไประบายที่ไหน มหาอำนาจแบบจีนยังสั่งปิดไปตั้งเป็นแสนเมกะวัตต์ อินเดีย อเมริกา หลายประเทศก็ลด เลิกไป อังกฤษก็เตรียมจะปิดโรงไฟฟ้า ข้อสรุปส่วนตัวของผมคือ ไม่รู้จะระบายไปไหนก็เอามาไว้บ้านเรา ยัดเยียดความตายให้คนเรา สงขลา ปัตตานี จะมีโรงไฟฟ้าเนี่ยจะเป็นภัยคุกคามคนสงขลา ปัตตานี ที่รัฐไม่เห็นชีวิตประชาชนในสายตา ผมอยากฝากถึง กฟผ.ว่า บทเรียนที่ได้รับในรอบ 5 ปีนั้น ถ่านหินสกปรก การที่คุณใช้อำนาจรัฐ อิทธิพลท้องถิ่น เพื่อให้เกิดโรงไฟฟ้าขึ้น และอยากฝากว่า ถ้าคุณไม่ปรับตัวหาทางเลือกพลังงานและเดินหน้าเอาถ่านหินอย่างเดียว คุณจะตายในอีก 10 ปีนี้ เพราะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ยุโรป 5 บริษัทขาดทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านยูโร และถ้ากฟผ.ไม่ปรับตัว ก็ต้องสู้กับภาคประชาชน เพราะในอีก 5-10 ปีนี้ คนภาคใต้จะเร่งเดินหน้าหาพลังงานหมุนเวียน และอาจจะไม่รอกฎหมายพลังงานก็ได้” นายประสิทธิชัย กล่าว
ด้านรศ. ดร. ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สังคมไทยสามารถหยุดการพึ่งพาถ่านหินและหันกลับมายืนบนลำแข้งตนเองได้ด้วยการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ด้านพลังงานและวางแผนการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม การขับเคลื่อนนโยบายพลังงานของประเทศต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน มิใช่ปล่อยให้อยู่ในกำมือของกลุ่มผลประโยชน์ทับซ้อนและอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลเพียงฝ่ายเดียว หลังหมดยุคถ่านหินแล้ว ระบบการผลิตไฟฟ้าและโครงข่ายพลังงานของประเทศไทย มีทั้งโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ เราจะต้องยึดประชาชนเป็นที่ตั้งและสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงให้เป็นเป้าหมายแห่งอนาคต
รศ. ดร. ชาลี กล่าวต่อว่า ที่ประเทศเยอรมนีนั้นมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และถูกกล่าวขานถึงหลายครั้ง ซึ่งประเด็นส่วนมากจะมองว่า เยอรมันเป็นประเทศที่มีแสงอาทิตย์น้อยกว่าประเทศไทย แต่กลับผลิตพลังงานได้เหลือใช้ อย่างพลังงานชีวมวลก็ผลิตได้ถึง 7,000 เมกะวัตต์ ประเด็นนี้หลายคนทราบดีเพราะพูดถึงเยอะ แต่อีกประเด็นคือ ค่าไฟในเยอรมนีนั้นจะแปลกมาก เยอรมนีมีค่าไฟที่ไม่คงที่และเปลี่ยนแทบทุกนาที ทุกชั่วโมง โดยกลางวันค่าไฟถูกกว่ากลางคืน และพลังงานมีมากพอจนรัฐบาลต้องมีโยบายว่า วันอาทิตย์ประชาชนรายใดใช้ไฟจะได้เงินคืน เพราะคนใช้น้อยมากในวันอาทิตย์ ต้องมีนโยบายรณรงค์ให้คนใช้กันมากมาย
ทั้งนี้ในตอนท้ายงานเสวนา ภาคีผู้ร่วมจัดงานได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ มีเนื้อหาโดยสรุปว่า เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกระบวนการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ( EIA ) ที่ไม่เป็นธรรม ได้ฝากรอยแผลที่เป็นความรู้อันเป็นเท็จว่าแผ่นดินอันสมบูรณ์รกร้าง เพื่อรับใช้อุตสาหกรรมให้ใช้แผ่นดินประชาชนแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว เป็นกลไกที่ไม่ได้ตั้งบนหลักการเพื่อสร้างทางเลือกการพัฒนา กลไกดังกล่าวทำให้เกิดบิดเบียน เช่น รายงาน EHIA ของเทพานั้น เป็นกลไกที่ถูกบริษัทรับจ้างบิดเบือนมาตลอด เป็นเพียงรายงานบนหน้ากระดาษที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสายตา แต่กลับผ่านไปได้ โดยไม่มีผู้ทำรายงานคนใดต้องมาแบกรับความหายนะ แม้รายงานจะผ่านไปโดยมือคนไม่กี่คนแต่ความจริง คือ ชีวิตคนยังมีอยู่ เราเป็นพลเมืองไทยที่มีสิทธิกำหนดอนาคตของตนเอง และเราประกาศไม่ยอมรับ EHIA ต่อไป