Search

โวยอุทยานบูโดเพิ่มความหวาดระแวงแอบตัดต้นยางพารา-ลองกองของชาวบ้านทั้งที่รอพิสูจน์สิทธิ์ที่ดิน เผยสำรวจสวนดุซงอายุกว่า 100 ปี ใกล้เสร็จสิ้น เตรียมเสนอรัฐคืนสิทธิ์ชุมชน

ภาพโดย เครือข่ายแก้ปัญหาที่ดินบูโด-สุไหงปาดี

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 เครือข่ายแก้ปัญหาที่ดินบูโด-สุไหงปาดี ได้ลงพื้นที่สำรวจสวนป่าดุซงที่บ้านตันหยง ต.สุวารี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งถูกอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดีประกาศทับที่ดินชาวบ้าน เพื่อจัดทำข้อมูลกลางในขั้นตอนดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี 14 ตุลาคม 2551 พบปัญหาหน่วยงานรัฐเข้ามาตัดโค่นต้นยางพาราของชาวบ้าน

ภาพโดย เครือข่ายแก้ปัญหาที่ดินบูโด-สุไหงปาดี

นายอาหามะ ลีเฮง ผู้ประสานงานเครือข่ายแก้ปัญหาที่ดินบูโด-สุไหงปาดี เปิดเผยว่า ในการนำทีมเข้าสำรวจสวนดุซงของชาวบ้านเพื่อจับพิกัดตำแหน่งจีพีเอส พบว่ามีสภาพเป็นสวนผลไม้ดั่งเดิม ทั้งต้นทุเรียนอายุกว่า 100 ปี ลองกองและมะพร้าวอายุมากกว่า 30 ปี จำปาดะและส้มแขกที่มีขนาดลำต้นใหญ่ ซึ่งอยู่ในเขตที่ดินที่ชาวบ้านได้ลงทะเบียนแจ้งสิทธิ์ แต่กลับพบว่าทางอุทยานแห่งชาติบูโดฯ และหน่วยทหารในพื้นที่ได้เข้ามาตัดโค่นต้นยางพาราอายุ 4 ปี และต้นลองกองอายุ 30 ปี ที่ชาวบ้านได้ปลูกแซมไว้ในสวนดุซงในพื้นที่จำนวน 3 ไร่ จากทั้งหมด 7 ไร่ ของชาวบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่อาศัยทำกินจากการเก็บผลอาสินและเก็บน้ำยาง จึงอยากขอความเป็นธรรมให้กับชาวบ้าน เพราะเป็นการกระทำที่ทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดระแวงและสับสนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะที่ดินกำลังอยู่ในขั้นตอนพิสูจน์สิทธิ์ที่ได้ดำเนินการร่วมทั้งชาวบ้านและหน่วยงานรัฐ

“มันทำให้เกิดเกิดความหวาดระแวง เพราะชาวบ้านเสนอให้รัฐเข้ามาพิสูจน์สิทธิ์ แต่กระบวนการยังไม่สิ้นสุด แล้วอีกหน่วยงานกลับเข้ามาตัดโค่น แล้วจะเชื่อใจใครดีอันนี้่คือปัญหา ทางเครือข่ายก็ต้องไปปรับความเข้าใจกับชาวบ้านใหม่ แต่ก็ชาวบ้านก็ขอความเป็นธรรมด้วย เพราะถ้าพิสูจน์แล้วชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้บุกรุก รัฐจะเยียวยาอย่างไร เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่ 3 จังหวัด มีความอ่อนไหวต่อความขัดแย้งสูง ทางเครือข่ายก็เป็นผู้ที่อยู่ตรงกลางก็ต้องประนีประนอมพอสมควร” นายอาหามะ กล่าว

ภาพโดย เครือข่ายแก้ปัญหาที่ดินบูโด-สุไหงปาดี

นายอาหามะ กล่าวอีกว่า ขณะนี้กระบวนการสำรวจจัดทำข้อมูลกลางที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีทุกภาคส่วนใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเตรียมจะขอภาพถ่ายทางอากาศจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสาสนเทศ(จีสด้า) นำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลกลาง เพื่อเสนอทำแปลงที่ดินที่จะกันเขตออกจากอุทยานแห่งชาติบูโดฯ ต่อสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี ซึ่งเป็นไปภายใต้มติ ครม. 14 ตุลาคม 2551 โดยคาดว่าจะทำให้สามารถแก้ปัญหาที่ดินให้กับชาวบ้านรอบป่าบูโดได้สำเร็จ

“เดิมเราเริ่มต้นจากแผนที่ทำมือจากข้อมูลชาวบ้าน แล้วให้เข้ามาแจ้งสิทธิ์ครอง จากนั้นจึงลงสำรวจพื้นที่จริง ตอนนี้เหลือแค่นำข้อมูลแผนที่จากจีสด้ามาเปรียบเทียบให้ชัดเจนก่อนสรุปข้อมูลแล้วเสนอต่อหน่วยงานรัฐเข้ามาพิสูจน์ตาม พรบ.ป่าไม้ 2054 และการประกาศอุทยานบูโด ปี 2542 ถ้าพิสูจน์ได้ว่าชาวบ้านอยู่มาก่อนก็ต้องคืนสิทธิ์ที่ดินแก่ชาวบ้าน เพราะไม่ใช่ผู้บุกรุก” นายอาหามะ กล่าว

ทั้งนี้ การประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอุทยานบูโด-สุไหงปาดี พ.ศ.2542 ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส 7 อำเภอ ปัตตานี 1 อำเภอและยะลา 1 อำเภอ รวม 25 ตำบล 89 หมู่บ้าน ทับซ้อนที่ดินที่ทำกินของประชาชนซึ่งตั้งถิ่นฐานนานกว่า 300 ปีได้รับความเดือดร้อนกว่า 20,926 ราย ที่ดิน 23,015 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 127,612 ไร่ ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งการโค่นยางพาราเพื่อขอปลูกใหม่ทดแทน การเข้าทำกินในสวนดูซง เป็นการละเมิดสิทธิ์อันชอบธรรมตามกฎหมายต่อประชาชนจำนวนมากที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตนเอง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน อาทิ สค.1 นส.3 และโฉนด และที่ครองครองที่ดินโดยชอบ แม้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ ตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม
///////////

On Key

Related Posts

เร่งแก้ไขน้ำประปาปนเปื้อน 18 หมู่บ้าน นายก อบจ.เชียงรายเผยระบบไม่ได้มาตรฐาน-เตรียมปรับปรุงเพิ่ม-คพ.ส่งทีมตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งหมด-เบื้องต้น 3 หมู่บ้านไม่พบสารโลหะหนัก-สำรวจหาแหล่งน้ำสะอาดแห่งใหม่