
มีรายงานว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มพระสงฆ์หัวรุนแรงและชาวอาระกันชาตินิยมได้ออกมาประท้วงในเมืองชิตต่วย เมืองหลวงของรัฐอาระกัน โดยอ้างว่า ไม่เห็นด้วยกับแผนการของรัฐบาลเอ็นแอลดี ที่เตรียมที่จะนำชาวมุสลิมโรฮิงญาที่อพยพหนีไปบังกลาเทศกลับพม่า โดยอ้างไม่สามารถอยู่ร่วมกับชาวโรฮิงญาได้อีก ขณะที่ยอดตัวเลขชาวโรฮิงญาทะลักเข้าบังกลาเทศกว่า 600,000 คนแล้ว
“สิ่งที่ผมอยากบอกรัฐบาลก็คือ มีผู้ก่อการร้ายจำนวนมากแฝงตัวอยู่ในชาวเบงกาลี (ชาวโรฮิงญา) ที่หนีไปบังกลาเทศ หากพวกเขาอยู่ในกลุ่มที่จะเดินทางกลับพม่า พวกเรารู้สึกเป็นกังวลว่าจะเกิดเหตุความขัดแย้งอีกครั้ง ชุมชนชาวพุทธอาระกันไม่สามารถยอมรับแผนดังกล่าว ดังนั้นเราจึงออกมาประท้วง” นายอ่องเท หนึ่งในแกนนำกลุ่มผู้ประท้วง 600 คนกล่าว ขณะที่พระอูดามิกะ พระสงฆ์ที่ร่วมประท้วงได้กล่าวเช่นเดียวกันว่า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับชาวโรฮิงญาได้อีก
ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า หากชาวโรฮิงญาเดินทางกลับพม่า พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทวงที่ดินทำกินของพวกเขาคืน นอกจากนี้ยังพบว่ารัฐบาลได้เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรของพวกเขาไปขาย อีกด้านหนึ่งเมื่อวานนี้ (23 ต.ค.) สื่อพม่ารายงานว่า มีชาวอาระกัน 2 รายถูกยิงเสียชีวิต ขณะที่อีก 2 รายได้รับบาดเจ็บ โดยชายที่ได้รับบาดเจ็บเปิดเผยว่า พวกเขาได้เข้าไปล่าสัตว์ในป่าใกล้กับภูเขามายู ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่าเป็นแหล่งซ่องสุมฝึกทหารของกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญา (Arakan Rohingya Salvation Army-ARSA)โดยชายที่ถูกยิงยังอ้างว่า พวกเขาถูกกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญายิงได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางการพม่ากำลังเร่งสืบสวน
ขณะที่มีการรายงานออกมาว่า ตัวเลขกลุ่มชาวโรฮิงญาติดอาวุธที่เสียชีวิตอาจมีมากถึง 1,000 คน นับตั้งแต่พวกเขาก่อเหตุโจมตีสถานีตำรวจพม่าเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และถูกทางการพม่าตอบโต้โดยการปราบปรามกวาดล้างอย่างหนัก โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐอาระกันยังทำให้มีชาวโรฮิงญากว่า 600,000 คน ต้องหนีไปยังบังกลาเทศ นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านอีกราว 30,000 คน ที่ไม่ใช่ชาวโรฮิงญาต้องหนีภัยอาศัยอยู่ตามวัดต่าง ๆ
อีกด้านหนึ่ง นางอองซาน ซูจีได้พบปะกับกลุ่มนักธุรกิจพม่าที่กรุงเนปีดอว์เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยเรียกร้องให้นักธุรกิจชาวพม่าให้ความช่วยเหลือทั้งด้านเงินบริจาคและระดมความคิดเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในรัฐอาระกัน นอกจากนี้ นางซูจียังกล่าวเรียกร้องให้ชาวพม่ามีความสามัคคีเพื่อผ่านปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลนางซูจีเองก็กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากนานาชาติจากประเด็นเรื่องชาวโรฮิงญา
ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องที่ว่า ให้รัฐบาลมอบสัญชาติและนำชาวโรฮิงญาเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่เห็นว่ากลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาไม่ใช่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของทางกลุ่ม มีชาติพันธุ์บางส่วนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลพม่าว่าชาวโรฮิงญาไม่ใช่ชาติพันธุ์ของประเทศ ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกร้องดินแดน โดยส่วนใหญ่ยังมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในรัฐอาระกันขณะนี้กระทบทั้งประเทศและไม่ต้องการออกมาแสดงความคิดเห็นมากนัก เพราะเป็นประเด็นอ่อนไหว
ด้านเจ้าหาญ หยองห้วย ผู้อำนวยการสำนักงาน Euro-Burma Office และเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในกระบวนการสันติภาพพม่ามาหลายปี แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาในรัฐอาระกันว่า ทางการพม่าควรยอมเจรจากับกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญา เพราะมองว่าความขัดแย้งทางทหารเป็นเรื่องยากที่จะหาทางแก้ไขได้ นอกจากการเจรจาที่จะทำให้ความตึงเครียดผ่อนคลายลง
ที่มา Irrawaddy/DVB
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ