2 พรรคการเมืองว้าอย่างพรรค Wa Democracy Party และพรรค Wa National Unity Party ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าอนุญาตให้ชาวว้าสามารถเดินทางได้อย่างเสรี หลังชาวว้าถูกห้ามเดินทางไปยังเมืองเชียงตุงและท่าขี้เหล็ก อีกทั้งมีรายงานว่า เด็กนักเรียนชาวว้าที่มาเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลก็ถูกห้ามไม่ให้เดินทางกลับบ้านที่เมืองป๋างซาง เขตปกครองพิเศษของว้า ระบุเป็นการเลือกปฏิบัติและกำลังสั่นคลอนกระบวนการสันติภาพในพม่า
Nyi Palote ประธานพรรค Wa National Unity Party กล่าวว่า ในกลุ่มชาติพันธุ์ว้ายังมีชาวละ (La) และชาวลอยละ (Loi La) ซึ่งทั้งสองกลุ่มต่างก็สามารถเดินทางได้อย่างอิสระเสรี แต่ขณะนี้ชาวว้ากลับไม่สามารถทำได้ โดเขากล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นการจงใจของรัฐบาลพม่าที่ต้องการสร้างความขัดแย้งระหว่างชาวว้าและกับอีก 2 กลุ่มชาติพันธุ์
“การห้ามเดินทางไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อใคร เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยให้พลเมืองของเราเดินทางออกนอกพื้นที่ สันติภาพเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างที่เรารู้ เราทุกคนต่างคาดหวังที่จะมีสันติภาพ แต่การจำกัดเสรีภาพในการเดินทางในประเทศของชาวว้าไม่ใช่การสร้างสันติภาพ กลับกันจะทำให้สันติภาพและการปฏิรูปการเมืองในประเทศต้องหยุดชะงัก และนี่ยังเป็นการเลือกปฏิบัติต่อชาวว้า” เนื้อหาในแถลงการของพรรคการเมืองว้าระบุ
อย่างไรก็ตาม การที่ทางการพม่าการจำกัดเสรีภาพการเดินทางของชาวว้าน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ว้า UWSA เป็นผู้นำก่อตั้งกลุ่ม Federal Political Negotiation and Consultative Committee (FPNCC) หรือที่รู้จักกันในชื่อ กลุ่มพันธมิตรทางเหนือ ซึ่งมีกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ 7 กลุ่มที่ยังไม่ลงนามหยุดยิงแห่งชาติ และบางกลุ่มยังคงจับปืนสู้กับกองทัพพม่าเช่น กองทัพเอกราชคะฉิ่น KIA กองทัพอาระกัน AA กองกำลังโกก้าง MNDAA และกองทัพรัฐฉานเหนือ SSPP/SSA เป็นต้น โดยทางพรรคการเมืองว้าระบุว่า ยังมีกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกของ FPNCC ดังนั้นทางการพม่าไม่ควรจำกัดเสรีภาพในการเดินทางเฉพาะแต่กลุ่มของว้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีอีกประเด็นที่คาดว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ทางการพม่าห้ามชาวว้าเดินทางออกนอกพื้นที่ คือเขตควบคุมของว้ายังติดกับเขตพื้นที่ปกครองพิเศษ 2 ของกองกำลังเมืองลา NDAA หรือกองกำลังสัมพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance Army) ทางภาคตะวันออกของรัฐฉาน แม้ทั้งกองทัพว้าและกองกำลังเมืองลาจะมีข้อตกลงให้สินค้าทุกอย่างและพลเมืองของตัวเองผ่านชายแดนของแต่ละฝ่ายได้ หรือแม้ทางกองกำลังเมืองลาจะยอมให้ทหารว้าประจำอยู่ตรงท่าเรือบนแม่น้ำโขงและบริเวณใกล้เคียงในพื้นที่ของตัวเอง แต่ทางกองทัพพม่าต้องการให้ทหารว้าออกไปจากในพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งทางนายอูซอเท ประธานสำนักประธานาธิบดีของฝ่ายรัฐบาลพม่าระบุว่า การจำกัดเสรีภาพของชาวว้าเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องทหารว้าประจำอยู่ในเมืองลา ซึ่งคาดว่าเคยมีอยู่ราว 4,000 นาย โดยขณะนี้กองทัพพม่ากำลังเจรจาเรื่องนี้กับว้า ทางด้านโฆษกของกองทัพว้า UWSA ให้สัมภาษณ์ว่า ทางว้าเคยร้องขอกองทัพพม่าอยู่หลายครั้งไม่ให้เข้ามาแทรกแซงภายในเมืองลา “เราจะจัดการเรื่องนี้กับพี่น้องของเราเอง” Nyi Rang โฆษกของกองทัพว้าระบุ อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ผู้นำของกองกำลังเมืองลาบางส่วนเองต้องการให้ทหารว้าถอนกำลังออกจากในพื้นที่ของตน แต่ไม่กล้าออกมาพูดอย่างเปิดเผย จึงขอความช่วยเหลือไปทางรัฐบาลพม่าและกองทัพพม่าให้ช่วยกดดันทางกองทัพว้าถอนกำลังออกจากเขตพื้นที่ของตนเอง
ทั้งนี้ ความขัดแย้งนี้ส่อเค้ามาตั้งแต่การประชุมสัญญาป๋างโหลงครั้งที่ 1 เมื่อปี 2559 ที่มีผู้นำกองกำลังเมืองลาบางส่วนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวและได้ขอความช่วยเหลือไปยังรัฐบาลพม่าเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่ข้อมูลนี้ได้รั่วไหลไปยังกองทัพว้า ทำให้กองทัพว้าเข้าควบคุมเมืองลาและควบคุมฐานที่มั่นตามภูเขาในเมืองลาหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ทางกองทัพว้าตกลงที่จะยอมถอนทหารบางส่วนออกจากเมืองลาเมื่อปีที่แล้ว แม้ทางโฆษกของว้าระบุว่า กองกำลังเมืองลาเป็นฝ่ายเชิญทหารว้าเข้าประจำในเมืองลาเอง แต่ก็มีมีรายงานว่า ผู้นำเมิืองลาบางส่วนกำลังไม่พอใจกับการแผ่อิทธิพลของว้าในเขตพื้นที่ตัวเอง ซึ่งกองทัพว้านั้นเป็นกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด มีกำลังพลอยู่ราว 40,000 นาย และยังมีกำลังพลสำรองอีกหลายหมื่นคน แม้กองทัพว้า เคยลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าเมื่อปี 1989 แต่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาหยุดยิงฉบับใหม่ที่ทางรัฐบาลเต็งเส่งได้ปูทางไว้
ที่มา Irrawaddy
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ