
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันหยุดเขื่อนโลก ในหลายพื้นที่ได้จัดงานเพื่อรณรงค์ต่อต้านการสร้างเขื่อนโดยเฉพาะในลุ่มน้ำสาละวินและแม่น้ำโขง โดยในส่วนของแม่น้ำสาละวินนั้น ได้มีการจัดงานทั้งในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยง และคะเรนนี ทั้งนี้เมื่อเวลา 09.00 น.ที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน บริเวณหน้าค่ายผู้หนีภัยสงครามอิตุท่า ฝั่งรัฐกะเหรี่ยงซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชาวบ้านทั้งฝั่งไทยและฝั่งกะเหรี่ยงราว 800 คนได้ร่วมกันสักการะแม่น้ำสาละวิน นอกจากนี้ยังมีการบอกเล่าสถานการณ์และแสดงเจตนารมย์ในการปกป้องแม่น้ำสาละวิน
ทั้งนี้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักโดยภายในงานชาวบ้านได้นั่งรวมกลุ่มเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า No Dam เพื่อเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการคัดค้านโครงการเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน อีกทั้งมีการร่วมร้องตะโกนเจตนารมณ์ในการปกป้องแม่น้ำ ขณะที่เด็กนักเรียน 30 คน ชักว่าวสีขาว เขียนข้อความว่า No Dam วิ่งไปตามริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน
นางสาว หน่อ เทอ เลอ ปวย ตัวแทนเยาวชน Karen Student Network Group กล่าวว่า การสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวินเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้อพยพในค่ายอิตุท่าและชาวบ้านตลอดแม่น้ำสาละวิน โดยเฉพาะผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของคนกะเหรี่ยง วันนี้จึงเป็นวันที่เราจะรวมพลังร่วมมือสู้เพื่อพี่น้อง เพราะยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่ต้องหลบซ่อน อีกทั้งการเจรจาหยุดยิงที่ผ่านมาก็ไม่มีหลักประกันว่าชาวบ้านจะได้รับความปลอดภัย เพราะตั้งแต่ปี 2015-2017 เป็นต้นมา ยังคงมีการยิงปะทะ ทำให้ชาวบ้านยังต้องหนีเข้าไปอาศัยในค่ายผู้หนีภัยการสู้รบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การผลักดันเขื่อนของรัฐบาลพม่า ยังถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อส่งกำลังทหารเข้ามาควบคุมพื้นที่ เช่นในพื้นที่หัวงานเขื่อนฮัตจี ที่ีทหารพม่าเข้ามาทำให้ชาวบ้านต้องหนีมาที่ค่ายอิตุท่า จนบัดนี้ยังไม่สามารถกลับไปที่หมู่บ้านเดิมได้ เขื่อนจึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ระหว่างทุนกับรัฐบาลพม่า ที่ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อสร้างสันติภาพ

นาย พอ ละ ดุ ตัวแทน Karen National Defense Organisation (KNDO) กล่าวว่า แม่น้ำสาละวินเป็นผู้หล่อเลี้ยงชาวกะเหรี่ยง หากมีการสร้างเขื่อนก็ย่อมมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของพวกเรา วันนี้จึงเป็นวันที่เราต้องออกมาร่วมกันปกป้องแม่น้ำไม่ให้ถูกทำลาย เพราะแนวทางการกู้เอกราช 1 ใน 3 ข้อ ของ ซอ บา อู จี ได้กล่าวไว้ชัดว่า ต้องการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งการลุกขึ้นมาปกป้องแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิต จึงเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชตามที่ ซอ บา อู จีได้ให้แนวทางไว้
นายนิวัติ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักเชียงของ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของลูกแม่น้ำทั่วโลกที่ลุกขึ้นมาปกป้องแม่น้ำของเรา ตนมาจากแม่น้ำสายหนึ่งที่อดีตเคยอุดมสมบูรณ์เหมือนกับแม่น้ำสาละวินในปัจจุบัน พวกเราสู้กับเขื่อนมากว่า 20 ปี แต่วันนี้แม่น้ำโขงมีเขื่อนเกิดขึ้นมากมาย เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก สิ่งสำคัญที่สุดถูกทำลาย ทำให้มีความยากลำบากในการหาอยู่หากินและการอยู่อาศัยเพราะถูกเขื่อนกั้นแม่น้ำ เมื่อเรารู้ข่าวว่าที่สาละวินมีการจัดงานหยุดเขื่อน พวกเราจึงเดินทางมาให้กำลังใจพี่น้องให้มีความกล้าหาญ จริงใจ รักหวงแหนแม่น้ำ จึงอยากให้การต่อสู้ปกป้องแม่น้ำสาละวินประสบความสำเร็จ
นาย ซอ โซ ขึ หัวหน้าค่ายผู้หนีภัยสงครามอิตุท่า ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ในค่ายอิตุท่าตอนนี้ลำบากมาก เพราะถูกตัดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากองค์กรต่างประเทศมากว่า 5 เดือนแล้ว ทำให้ไม่มีข้าวสารเพียงพอที่จะปันส่วนให้ทุกครอบครัว ชาวบ้านวัยหนุ่มสาวต้องพยายามออกไปหางานรับจ้าง หรือเย็บใบตองตึงนำไปขายเพื่อนำเงินมาซื้อข้าวสารและสิ่งของจำเป็น แม้ก่อนหน้านี้จะมีพี่น้องกะเหรี่ยงจากฝั่งไทยส่งข้าวสารและของบริจาคมาให้ที่ค่ายอิตุท่า แต่ก็ต้องกันไว้ปันส่วนให้ครอบครัวที่มีคนแก่ เด็ก และคนพิการเท่านั้น ส่วนยารักษาโรคก็ขาดแคลนอย่างมาก ตอนนี้ก็คาดหวังว่านานาประเทศได้เข้าใจในสถานการณ์จริงในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง ว่าไม่ได้เป็นไปตามแผนสันติภาพอย่างที่รัฐบาลพม่าสร้างภาพไว้ และอาจทำให้องค์กรต่างๆ กลับมาช่วยเหลือ

นายพอล เส่ง ทวา ผู้อำนวยการเครือข่ายปฏิบัติการเพื่อสิ่งแวดล้อมกะเหรี่ยง กล่าวว่า การลงนามหยุดยิงที่กองกำลังต่างๆ ลงนามกับรัฐบาลพม่า ในด้านหนึ่งโลกเห็นว่าพม่าเกิดสันติภาพแล้ว ทำให้การสนับสนุนด้านมนุษยธรรมแก่ผู้พลัดถิ่นถูกระงับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 เป็นการกดดันให้ชาวบ้านกลับสู่ถิ่นฐาน แต่ทหารพม่ากลับมีการเสริมกำลังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อต้นมีนาคม 2561 ในพื้นที่ของกองพล 7 KNU ทหารพม่าเข้ามาและพยายามสร้างถนน เชื่อมค่ายทหารพม่าในจุดต่างๆ เพื่อจัดส่งอาหารและยุทโธปกรณ์ ทั้งที่ในข้อตกลงมีการลงนามหยุดยิงและห้ามขายฐาน จึงเท่ากับผิดข้อตกลง ทำให้ยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมากที่ต้องหนีเข้าไปอาศัยในพื้นที่ป่าและเข้ามาที่ค่ายอิตุท่า กลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น
นายพอล เส่ง ทวา กล่าวต่อว่า ขณะนี้ในรัฐกะเหรี่ยงมีการตั้งพื้นที่สันติภาพ เปลี่ยนสนามรบเป็นเขตสันติภาพ (Salween Peace Park) มีวัตถุประสงค์คือ 1.สร้างสันติภาพที่ประชาชนต้องการ ไม่ใช่การยอมแพ้หรือควบคุมแบบที่รัฐบาลพม่าต้องการ แต่ประชาชนต้องการอยู่โดยปราศจากความกลัว เราเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านที่ทนทรมานจากความไม่สงบมานานหลายทศวรรษ เราร่วมฟื้นฟู และทำความเข้าใจปัญหา กำหนดอนาคตของตนเองได้ มีอำนาจในการจัดการตนเอง มีสิทธิมีเสียง ไม่ใช่ชีวิตที่ควบคุมโดยรัฐบาลพม่าที่จะมาสร้างเขื่อน
2.เพื่อสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะในป่ารัฐกะเหรี่ยงลุ่มสาละวินยังมีเสืออีกมาก ในพม่ามีผืนป่าเพียง 3 แห่งที่ยังมีเสือและสัตว์ป่าอื่นๆ ฝั่งไทยก็มีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอนุรักษ์ที่เป็นผืนป่าเชื่อมต่อกันของ 2 ประเทศ เขตอนุรักษ์ลุ่มสาละวินนี้กว้างมากเป็นเทือกเขาเชื่อมเส้นทางอพยพของทั้งเสือ ช้าง สัตว์ป่าอื่นๆ เชื่อมไปสู่ฝั่งไทย คงจำได้ที่มีกรณีเสือโดนยิงที่กอกะเร็ก ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นเสือที่ข้ามมาจากฝั่งไทยจากผืนป่าตะวันตก
นายพอล เส่ง ทวา กล่าวต่อว่า 3.การอยู่รอดทางวัฒนธรรม พื้นที่นี้ส่วนมากเป็นคนกะเหรี่ยง เชื่อผีบรรพบุรุษ เคารพธรรมชาติ ทำไร่หมุนเวียน ตามวิถีชาวกะเหรี่ยง เป็นเรื่องเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต หากเสียไปคือการสูญเสียอัตลักษณ์ เขตสันติภาพสาละวิน เป็นพื้นที่พิเศษ ที่มีธรรมนูญของตนเอง ปกครองตนเองเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภาของตนเอง หากรัฐบาลสามารถสร้างพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษได้ เราก็สร้างเขตวัฒธรรมพิเศษได้เช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันกลุ่ม Karen River Watch(KRW) ซึ่งเป็นองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติของกะเหรี่ยง ได้ออกแถลงการณ์ไม่เอาปฏิบัติการทางทหารและโครงการพลังงานที่ทำลายล้าง ซึ่งคุกคามสันติภาพ โดยเรียกร้องกองทัพพม่าและรัฐบาลพรรค National League for Democracy (NLD) ให้แสดงเจตจำนงในการสร้างสันติภาพ โดยยุติปฏิบัติการทางทหารในรัฐกะเหรี่ยงและรัฐชาติพันธุ์อื่น ๆ รวมทั้งยุติแผนการและการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ทั้งหมด เนื่องจากเป็นสิ่งที่กระทบต่อทั้งประชาชนของพม่าและทรัพยากรธรรมชาติ
ในแถลงการณ์ระบุว่า KRW ประณามกองทัพพม่าที่ทำลายกระบวนการสันติภาพของประเทศครั้งแล้วครั้งเล่า ในวันที่ 4 มีนาคม 2561 กองทัพได้เริ่มการละเมิดครั้งล่าสุดต่อความตกลงหยุดยิงระดับประเทศ NCA ซึ่งมีการทำสัญญาไว้กับกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army – KNLA) กล่าวคือกองทัพได้ส่งกำลังทหารกว่า 600 นาย ข้ามเส้นแบ่งพื้นที่หยุดยิงในเขตมูตรอทางตอนเหนือของรัฐกะเหรี่ยง เพื่อผลักดันให้ประชาชน 1,500 คน จาก 14 หมู่บ้าน ต้องหลบหนีจากถิ่นฐานบ้านเรือนของตนเอง หลายคนยังถูกทหารพม่ายิง ปัจจุบันชาวบ้านเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ (IDPs) พากันรอนแรมอาศัยอยู่ในป่าเขาและมีอนาคตไม่แน่นอน
“สันติภาพควรหมายถึงประชาชนไม่จำเป็นต้องหลบหนีและซ่อนตัวในป่าเขา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สันติภาพ” นอทะมิลาซอ องค์กรสตรีชาวกะเหรี่ยง (Karen Women Organisation) กล่าวและว่า “ปฏิบัติการของกองทัพพม่าแสดงให้ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นในประเทศตระหนักว่า ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาเลย ผู้หญิงและเด็กต้องซ่อนตัวในป่าเขาโดยมีอาหารเพียงเล็กน้อย ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าและการเพิกเฉยของรัฐบาลพรรค NLD นับเป็นเรื่องน่าเศร้าและแสดงให้พวกเราเห็นว่า สันติภาพยังอยู่อีกไกล”
แถลงการณ์ได้เรียกร้องให้มีความตกลงยุติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานขนาดใหญ่และโครงการขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายในพื้นที่ของรัฐกะเหรี่ยง จนกว่าจะเกิดสันติภาพอย่างแท้จริงโดยผ่านกระบวนการเจรจาทางการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่ระบบสหพันธรัฐที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงทั่วประเทศพม่า โดยเขื่อนขนาดใหญ่ 14 แห่งที่อยู่ระหว่างการวางแผนหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้างในแม่น้ำสาละวิน คุกคามต่อแม่น้ำสายใหญ่ที่ยังไหลได้อย่างเสรีเกือบจะเส้นสุดท้ายของโลก หากมีการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเหล่านี้ จะไม่เพียงส่งผลให้ชุมชนชาติพันธุ์ซึ่งอยู่ชายขอบอยู่แล้วและต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองยาวนานสุดในโลก ต้องสูญเสียที่ดินและทรัพย์สิน หากยังส่งผลให้มีการตรึงกำลังทหารอย่างถาวรในภูมิภาคที่เปราะบางเหล่านี้



