หลังจากที่นายอูถิ่นจ่อ ประธานาธิบดีรัฐบาลพรรค NLD ของนางอองซาน ซูจี ได้ยื่นจดหมายลาออกเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้ตำแหน่งผู้นำประเทศว่างลง ขณะนี้สภาพม่ากำลังเร่งเสนอรายชื่อผู้ที่จะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางสภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกรองประธานาธิบดีคนใหม่เพิ่มมาอีก 1 คน คือ นายอูวินมิ้น โดยเขาเพิ่งลาออกจากตำประธานสภาราษฎรในวันเดียวกันกับที่นายอูถิ่นจ่อประกาศลาออก ทั้งนี้การลาออกจากตำแหน่งเดิมเป็นไปตามคาดที่หลายฝ่ายมองว่า นายวินมิ้นถูกวางตัวจากนางอองซาน ซูจี ให้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของพม่า
มีรายงานว่า การลงคะแนนเสียงเลือกรองประธานาธิบดีคนใหม่ นายวินมิ้นได้รับเสียงคะแนนจาก ส.ส.ในสภาอย่างท่วมท้น โดยได้คะแนน 273 เสียง เมื่อเทียบกับผู้ชิงอีกคนจากพรรค USDP ที่ได้คะแนนไปเพียง 27 เสียง โดยตามกฎหมายของพม่าระบุไว้ว่า ประธานาธิบดีนั้นจะถูกเลือกจากรองประธานาธิบดีทั้ง 3 คน ตามกฎหมายของพม่า เมื่อประธานาธิบดีลาออก จะต้องจัดหาเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ภายใน 7 วัน หลังนายอูถิ่นจ่อลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้นายอูมิ้นส่วย ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีอีกคน ต้องปฏิบัติภารกิจแทนชั่วคราว ซึ่งนายอูมิ้นส่วยนั้น ได้รับเลือกสนับสนุนให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีจากฝ่ายทหารในสภา เมื่อปี 2559
ทั้งนี้มีการเปิดเผยว่า นายวินมิ้นนั้น เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค NLD และยังเป็นคนโปรดของนางซูจี จึงคาดว่า เขานั้นถูกกำลังถูกวางตัวให้เป็นประธานาธิบดีตนใหม่ นายวินมิ้นได้รับเลือกเป็นประธานสภาราษฎรเมื่อปี 2559 หลังพรรคชนะการเลือกตั้งอย่างท้วมท้น นายวินมิ้น วัย 67 ปี เป็นที่รู้จักที่เป็นประธานสภาราษฎรที่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด มีการคาดเดากันว่า เหตุที่พรรค NLD ครองที่นั่งในสภามากถึง 80 % จะทำให้นายวินมิ้นขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ได้ไม่ยากนัก นายวินมิ้น ยังเป็นที่รู้กันว่า เป็นผู้จงรักภักดีกับพรรค NLD ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งพรรคโดยลงเล่นการเมืองและเข้าสู่สภาเมื่อปี 2555 ขณะที่การเลือกประธานาธิบดีคนใหม่นั้นจะมีขึ้นในวันจันทร์นี้
ด้านนักวิเคราะห์ไทใหญ่มองว่า ใครจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของพม่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์นัก แต่สิ่งที่สำคัญคือใครจะบริหารประเทศไปในทิศทางไหนต่างหาก นักวิเคราะห์ไทใหญ่ยังมองว่า การบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลนางซูจีในหลายๆ ด้านยังไม่มีความคืบหน้าเหมือนที่เคยหาเสียงไว้ เช่น การสร้างสันติภาพในประเทศ เปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองสหพันธรัฐที่แท้จริง การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2008 ที่ NLD เคยประกาศไว้ก็ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการเสียด้วยซ้ำ รวมไปถึงปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนที่ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงภายใต้การบริหารของรัฐบาล NLD ดังนั้นการเปลี่ยนประธานาธิบดีคนใหม่ก็ไม่ต่างจากการเปลี่ยนตัวผู้เล่นนักฟุตบอลเท่านั้น
ที่มา DVB/Irrawaddy
แปลและเรียบเรียงโดย สำนักข่าวชายขอบ
