Search

คาดภายใน 60 ปีมะพร้าวสูญเกาะสมุย อดีตเกษตรอำเภอวอนร่วมกันดูแลสัญญลักษณ์สำคัญของเกาะ อ.ประมวลปลื้มเดินสาวย่านโยตพบแม่เฒ่าอายุร้อยปีร่วมนับเครือญาติ


เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2561 ที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ได้มีกิจกรรมเดินรอบเกาะ “เดินกินห่อ สาวย่าน ตำนานสมุย” ซึ่งนำโดยอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ นักปรัชญาที่ใช้การเดินค้นหาความหมายของชีวิตเป็นวันที่สอง จากศูนย์ท่องเที่ยวธรรมชาติบ้านลิปะน้อยไปยังวัดนาราเจริญสุข ในระยะทาง 7.53 กิโลเมตร โดยมีชาวสมุย ประชาชนทั่วไปและลูกศิษย์อาจารย์ประมวลราว 40 คนร่วมคณะเดินภาวนา

ทั้งนี้อาจารย์ประมวลได้กล่าวถึงการเดิน “สาวย่าน” ที่ได้แวะชุมชนและคารวะคนเฒ่าคนแก่และแหล่งธรรมชาติเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมาว่าเป็นการเริ่มต้นที่มหัศจรรย์และรู้สึกปลื้มปิติเพราะได้เจอกับแม่เฒ่าอายุย่าง 102 ปีซึ่งรุ่นเดียวกับมารดาของตน โดยแม่เฒ่ายังมีสุขภาพและความจำดีทำให้สาวย่านโยตจนรู้ว่าเป็นเครือญาติกันอย่างไร นอกจากนี้ยังได้พบกับคนตาบอดซึ่งแม้มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ด้วยใจว่าตนกำลังทำอะไรและได้อวยพรให้กิจกรรมการเดินครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

“ผมฝันว่าการเดินครั้งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แม้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา ผมไม่สามารถบอกได้ว่าฝันของผมจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยเราก็ได้บอกความฝันของเรา เขาได้บอกความฝันของเขา ซึ่งจะได้รับรู้ว่าเป็นฝันเดียวกันหรือไม่” อาจารย์ประมวล กล่าว

อาจารย์ประมวลกล่าว่าถึงป่าไม้ที่เป็นแหล่งต้นน้ำของเกาะสมุยว่า ในอดีตมีความอุดมสมบูรณ์มาก และเกาะสมุยมีปริมาณน้ำฝนในแต่ละปีมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยมีป่าเป็นแหล่งกักเก็บน้ำเหมือนกับพระแม่ธรณีบีบมวยผม ต้นไม้ทุกต้นเหมือนกับเส้นผมที่ค่อยๆปล่อยน้ำออกมากลายเป็นลำน้ำไหลลงโดยรอบเกาะสมุย แต่เมื่อป่าไม้ลดหายไปมากก็เกรงว่าจะทำให้เกิดพิบัติภัยในอนาคต ดังนั้นหากทุกคนกลับมาช่วยกันรักษาธรรมชาติให้กลับคืนมาก็จะช่วยให้ไม่ขาดแคลนน้ำและไม่เกิดพิบัติภัย

นายสถิรพงศ์ สุรินทร์วรางกูร เครือข่ายพลเมืองสมุยกล่าวว่า เกาะสมุยมีสภาพเหมือนกะลาคว่า ด้านบนเป็นป่าและรอบๆมีลำน้ำ 14 สายไหลลงพรุ ซึ่งมีฝนคอยเติมน้ำให้ป่าอยู่ตลอด โดยมีปริมาณน้ำราว 500 คิวต่อปี ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำเฉลี่ยแค่ปีละ 10 ล้านคิว หากร่วมกันดูแลป่าและบริหารจัดการที่ดีเชื่อว่าบนเกาะสมุยมีน้ำเหลือใช้เพราะต้นไม้เหมือนกับฟองน้ำสามารถดูดน้ำในอากาศที่มีปริมาณมากมาใช้ได้ตลอด


ด้านนายไพชนม์ แย้มบาน อดีตเกษตรอำเภอเกาะสมุย ซึ่งเป็นคนเกาะสมุยโดยกำเนิด กล่าวถึงสถานการณ์ต้นมะพร้าวซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของเกาะสมุยว่า มีความน่าเป็นห่วงมากในอนาคตมะพร้าวอาจจะสูญพันธุ์ไปจากเกาะสมุย เนื่องจากพื้นที่ปลูกมะพร้าวมีปริมาณลดลงทุกปี โดยข้อมูลเกษตรกรที่มาลงทะเบียนในปี 2548 มีพื้นที่ปลูกมะพร้าวจำนวน 9.8 หมื่นไร่ และในปี 2556 เหลือพื้นที่ปลูกมะพร้าวประมาณ 6 หมื่นไร่ ลดลงถึง 1 ใน 3

“ในอนาคตหากไม่มีการแก้ปัญหาเชื่อว่าต้นมะพร้าวบนเกาะสมุยจะหายไปภายใน 60 ปี ซึ่งเหตุผลที่ทำให้เกษตรกรเลิกทำสวนมะพร้าวมีปัจจัยหลัก คือ การเปลี่ยนการถือครองที่ดินคืนมีนายทุนจากข้างนอกมาซื้อ และการนำที่ดินไปใช้สร้างบ้านอยู่อาศัยและการสร้างโรงแรม รวมถึงสภาพสังคมที่คนรุ่นใหม่หันไปทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวแทนการทำสวน” นายไพชนม์ กล่าว

นายไพชนม์ กล่าวต่อว่า ชาวสวนบนเกาะสมุยเคยพยายามร่วมกันแกุปัญหา โดยส่งเสริมให้มีการปลูกมะพร้าวแถวแรกเสริมในพื้นที่ชายหาดและพื้นที่สาธารณะ และปลูกเสริมในสวนเพื่อทดแทนต้นเก่า แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะอาชีพทำสวนในปัจจุบันไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ คนรุ่นใหม่เลือกไปประกอบอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวแทน แต่ตนเองอยากบอกว่าต้นมะพร้าวมีคุณค่าต่อการท่องเที่ยวของเกาะสมุย เพราะถือเป็นจุดกำเนิดของการท่องเที่ยวทั้งหมด ดังนั้นจึงอยากเห็นทุกคนช่วยกันเพิ่มปริมาณต้นมะพร้าว โดยการเริ่มปลูกมะพร้าวในที่สาธารณะและในสวนที่เหลืออยู่

“ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งได้ประโยชน์จากมะพร้าวไปเต็มๆ เพราะมะพร้าวคือจุดขาย เห็นได้จากการประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวเกาะสมุยก็มักมีต้นมะพร้าวเป็นโลโก้ ก็ควรออกมาสนับสนุนการปลูกและร่วมดูแลต้นมะพร้าว นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมาที่เกาะสมุย เพื่อมาสัมผัสเกาะแห่งมะพร้าวหรือโคโคนัทไอซแลนด์”นายไพชนม์ กล่าว

นายธนิต พงเพชร เจ้าของสวนมะพร้าว กล่าวว่า ตนเองมีสวนมะพร้าวประมาณ 100 ไร่ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เข้าไปดูแลสวนแล้ว เพราะการทำสวนมะพร้าวไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และยังมีปัญหาราคาตกต่ำ สวนมะพร้าวที่เหลือส่วนใหญ่เป็นต้นแก่ ขาดการบำรุงรักษา จึงถูกโค่นเพื่อขายเป็นไม้ ทำให้จำนวนต้นมะพร้าวลดลงทุกปีโดยไม่มีการปลูกทดแทน ทุกวันนี้อาชีพทำสวนมะพร้าวจึงเป็นเพียงอาชีพเสริมเท่านั้น

On Key

Related Posts

นักวิชาการแนะรัฐไทยเร่งหารือประเทศลุ่มน้ำโขงหลังตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานใน จ.เลย-หนองคาย-บึงกาฬ-นครพนม ภาคประชาชนจี้รัฐแจ้งความจริงให้ชาวบ้านทราบ-หาแนวทางปฎิบัติ-หวั่นหลายเมืองใช้น้ำโขงผลิตน้ำประปาได้รับผลกระทบ