เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561จากกรณีที่หอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ ‘หอศิลป์’ ไม่ได้รับงบประมาณการบริหารงานจาก กทม.มาแล้วเป็นเวลา 2 ปี ทำให้ล่าสุดมีรายงานว่าทางหอศิลป์ เตรียมปรับตัวด้วยมาตรการรัดเข็มขัด ตัดนิทรรศการ ลดกิจกรรม ลดวันและเวลาทำการ โดยพนักงานหอศิลป์ ผู้บริหาร ร้านค้า และศิลปิน เตรียมรวมตัวแสดงพลังแต่งชุดดำไว้อาลัย และมีการแถลงข่าวในวันพุธที่ 26 กันยายนนี้ ที่ชั้น 1 ห้องอเนกประสงค์
ขณะเดียวกันบนสื่อสังคมออนไลน์ในแวดวงศิลปิน มีการแชร์ข้อความต่อกันเล่าถึงวิกฤติที่หอศิลป์กำลังเผชิญ ที่แม้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยออกมายืนยันว่า กทม. จะไม่ข้าไปยึดอำนาจการบริหารหอศิลป์ ก็ตาม แต่กลับไม่ให้งบประมาณเป็นเวลา 2 ปี ติดต่อกัน
นอกจากนี้มีการเชิญชวนประชาชนร่วมกันลงชื่อแสดงพลังผ่านกิจกรรมรณรงค์ “คัดค้านการที่กรุงเทพมหานครจะเข้ามาบริหารจัดการหอศิลป์กรุงเทพฯ ด้วยตัวเอง” ในเว็บไซต์ chang.org โดยเปิดให้ลงชื่อได้ที่ https://goo.gl/3zsHtT
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตประธานกรรมการบริหารมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีวิกฤติของหอศิลป์กรุงเทพฯ ครั้งนี้ว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของผู้ว่าฯ กทม.ที่ต้องการยึดอำนาจการบริหารหอศิลป์ เพราะตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา การบริหารงานของหอศิลป์ถือว่าประสบความสำเร็จ มีผู้ลงทะเบียนเข้าใช้บริการมากถึง 1.5 ล้านคนต่อปี อีกทั้งเมื่อย้อนไปดูการเกิดขึ้นของหอศิลป์ ทาง กทม.ในสมัยผู้ว่าอภิรักษ์ โกษโยธิน มีมติออกมาว่า กทม.ไม่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารงานหอศิลป์ จึงให้มูลนิธิเป็นผู้ดูแล โดย กทม.เป็นผู้จัดสรรงบประมาณ 40 ล้านบาทต่อปี ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับโครงการต่างๆ ของ กทม. ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทต่อโครงการ
“ทุกคนรู้ดีว่าผู้ว่านี้ไม่น่าจะมีความสามารถในการบริหารหอศิลป์ เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หอศิลป์ต้องแบกรับเงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าดูแลรักษาอาคาร โดย กทม.ไม่เคยลงมาดูแลตรงนี้ งบประมาณก็ไม่ให้มา 2 ปีแล้ว ขนาดคณะกรรมการหอศิลป์หมดวาระไปตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการแต่งตั้งชุดใหม่ แสดงว่าเป็นผู้ไร้ศีลธรรมในการบริหาร” นายไกรศักดิ์ กล่าว
นายไกรศักดิ์ กล่าวอีกว่า หากต้องสูญเสียหอศิลป์แห่งนี้ ก็เสมือนเป็นการสูญเสียพื้นที่สาธารณะของคนนับล้าน เพราะถือว่าเป็นหอศิลปะที่ใหญ่ที่สึดแห่งหนึ่งของภูมิภาค เป็นศูนย์กลางแหล่งท่องเที่ยวของผู้มาเยือนกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่แหล่งเดียวที่ไม่คิดเงินกับประชาชน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์ของมวลชนผ่านเครื่องมือศิลปะ
ด้านนายจุมพล อภิสุข ตัวแทนเครือข่ายศิลปินแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่เกิดกับหอศิลป์สะท้อนชัดต่อประชาชนว่า ผู้ว่า กทม.ไม่เคยเห็นความสำคัญของศิลปะ ไม่เข้าใจความหมายศิลปะยาว ชีวิตสั้น เพราะไม่เคยออกมาอธิบายกับประชาชนว่าทำไมต้องตัดงบประมาณของหอศิลป์ และไม่เคยออกมาแสดงความรู้สึกสะดุ้งสะเทือนต่อความรู้สึกของสังคม ทั้งที่การยึดหอศิลป์นั่นคือการยึดพื้นที่สาธารณะของประชาชน
สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นผลกระทบจากการที่หอศิลป์ถูกใช้เป็นพื้นที่แสดงออกทางสังคม และทางการเมืองในหลายประเด็น เรื่องนี้ นายจุมพล กล่าวว่า อาจมีส่วน เพราะหอศิลป์ถือเป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้จัดแสดงงานนิทรรศการ หรือจัดกิจกรรมทางสังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ในการแสดงความคิดเห็นประเด็นต่างๆ ด้วยสติปัญหาอย่างมีเสรีภาพผ่านงานศิลปะ ซึ่งหากผู้นำประเทศหรือผู้ว่าไม่มีความฉลาดพอ แล้วมากดดันยึดพื้นที่เหล่านี้ ก็อาจเป็นการกดดันให้ประชาชนต้องออกไปเรียกร้องปัญหาบนท้องถนน ซึ่งจะกระทบต่อเส้นทางทางการเมืองในอนาคตของผู้ว่า กทม.
—————————