
หลายฝ่ายแสดงความวิตกและห่วงใยกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธร จังหวัดสุพรรณบุรี ทหาร และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 7 ได้จับกุมตัวเจ้าหน้าที่มูลนิธิขวัญข้าวไว้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2562 และได้ออกหมายเรียกนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิขวัญข้าว เนื่องจากเชื่อว่าการมีกัญชาไว้ในครอบครองนั้น เป็นไปเพื่อเป็นการค้นคว้าและรักษาผู้ป่วย
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2562 ในสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีบุคคลและองค์กรจำนวนมากเขียนแสดงความคิดเห็น โดยในเฟซบุ๊กของมูลนิธิชีววิถี หรือ biothai ซึ่งมียอดแชร์ 1,800 ครั้งระบุว่า แม้เพียงพบกันครั้งแรก หลายคนคงสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังงานของ “เดชา ศิริภัทร” ในฐานะครูผู้สอนเรื่องข้าวและเกษตรกรรมที่ยั่งยืน คือความเมตตาเพื่อให้ชาวนาและสังคมไทยหลุดพ้นจากความทุกข์ยากจากปัญหาความยากจน ก้าวข้ามระบบเกษตรกรรมและอาหารที่พึ่งพาสารพิษร้ายแรงทั้งหลาย โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เพื่อตนเอง
ในเฟซบุ๊กของ biothai ระบุด้วยว่า นายเดชาสนใจเกี่ยวกับเรื่องกัญชารักษาโรคมานานมากกว่า 20 ปี และในช่วง 10 ปีมานี้เขาค้นคว้าเสาะแสวงหาความรู้ ทดลองด้วยตัวเอง และลงมือทำแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคแก่ผู้คนไม่เลือกหน้าให้หลุดพ้นจากโรคร้าย โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน โดยนายเดชาทราบดีว่า การครอบครองและแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อการรักษาโรคยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศที่มีกฎหมายล้าหลังเช่นประเทศไทย แต่เขายอมแลกกับการที่ตนเองต้องเสี่ยงสูญเสียอิสรภาพ เพื่อต่อสู้ให้มีการยกเลิก และปรับปรุงกฎระเบียบและกฎหมายที่ล้าหลังเหล่านี้เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ยากของคนไทยที่ป่วยด้วยมะเร็ง และโรคภัยต่างๆ
“ร่วมกันแชร์และส่งกำลังใจไปให้เพื่อนทุกคนในมูลนิธิข้าวขวัญ และร่วมกันต่อสู้เพื่อไม่ให้กฎหมายที่ตราออกมาเอื้ออำนวยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ คนบางกลุ่มเพิกเฉยต่อผู้เจ็บป่วย และไม่คุ้มครองประโยชน์ของสามัญชนคนส่วนใหญ่ในประเทศ” ในเพจดังกล่าวระบุ ขณะที่มีกว่า 200 ความเห็นซึ่งส่วนใหญ่ให้กำลังใจนายเดชา
ขณะที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพฯ โพสต์ในเฟซบุ๊กระบุว่า “อย่าให้การจับกุมทีมงานเดชา สะท้อนนโยบายผูกขาดกัญชาเพื่อกลุ่มทุนใหญ่ของรัฐบาลคสช.ใช่หรือไม่”
น.ส.รสนาระบุว่า ตนเองรู้จักนายเดชามานานกว่า 35 ปี โดยนายเดชาเป็นคนที่มุ่งมั่นจะพัฒนา และรักษาสายพันธุ์ข้าวไทยไว้เพื่อคนไทย และเป็นคนที่ต่อสู้กับการผูกขาดเมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรของกลุ่มทุนด้านเกษตรมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อให้ชาวนาและเกษตรกรไทยสามารถพึ่งตนเองได้ และผู้บริโภคมีอาหารที่ปลอดภัย
“พี่เดชาทำแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่มีความคิดในการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงไม่น่าแปลกใจในเรื่องกัญชาเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนที่พี่เดชาได้ทุ่มเทศึกษามาเป็นเวลานับสิบปี โดยทดลองรักษาตัวเองก่อนเมื่อได้ผลดีแล้ว จึงทำยามามอบให้วัดต่างๆ แจกฟรีให้กับผู้ป่วย พี่เดชาและทีมงานอาศัยเงินจากการอบรมความรู้เรื่องกัญชา ที่เก็บคนละ 2 พันบาท หลังหักค่าใช้จ่ายการอบรม ค่าที่พัก ค่าอาหารแล้ว นำมาเป็นทุนเพื่อทำน้ำมันแจกฟรีให้กับผู้ป่วย” น.ส.รสนา ระบุ
น.ส.รสนา ระบุว่านอกจากโรคมะเร็งแล้ว ยังมีคนป่วยด้วยอาการอื่นๆ ที่หายด้วยน้ำมันสกัดกัญชา ที่น่าสนใจมาก เช่น อาการปวดไมเกรน ที่คนไข้ต้องฉีดเสตียรอยส์เข้าก้านสมอง หรือโรคลมชัก อาการอัลไซเมอร์ ที่ผู้ป่วยนอนติดเตียง ฯลฯ คนเหล่านี้มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ดิฉันอดแปลกใจไม่ได้ที่มีข่าวปรากฎในสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2562 มีตำรวจปปส.บุกเข้าไปตรวจจับกัญชาที่มูลนิธิข้าวขวัญ ในขณะที่พี่เดชาเดินทางไปบรรยายที่ประเทศลาว และจับกุมทีมงานของพี่เดชาไปเก็บตัวไว้ถึง 72 ชั่วโมง ทั้งที่ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม 90 วัน (ตั้งแต่ 25 ก.พ – 25 พ.ค. 2562) ตามพ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แก้ไขปี 2562 ที่ได้ปลดล็อคกัญชาจากยาเสพติดประเภทที่ 5 ให้สามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ได้ ตามมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ ที่แก้ไข และรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข มีประกาศหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาเพื่อการแพทย์” น.ส.รสนา ระบุ
น.ส.รสนา ระบุว่า นายเดชาไม่ได้มีกัญชาไว้เพื่อจำหน่าย แต่มีไว้เพื่อมอบต่อให้วัดเป็นผู้แจกกับผู้ป่วยแบบให้เปล่า โดยให้ผู้ป่วยได้มารับศีล และฟังธรรมจากพระในวัดนั้นๆ นับเป็นการใช้วัฒนธรรมพุทธศาสนาที่เน้นการแบ่งปันเกื้อกูลกันตามหลักของทาน และศีลในพุทธศาสนาข้อตอบแทนจากผู้ป่วยคือข้อมูลอาการเจ็บป่วย และผลหลังจากการใช้ยา ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ของคนไทยต่อไป
“ดิฉันจึงมีความเห็นว่า ทางตำรวจสมควรพิจารณางดเว้นการจับกุมในช่วงเวลานิรโทษกรรม 90 วัน การเข้าจับกุมทีมงานของคุณเดชา ศิริภัทร ทั้งที่กฎหมายเปิดโอกาสการนิรโทษกรรมอยู่นั้น ยิ่งจะทำให้สังคมเข้าใจไปได้ว่า การจับกุมครั้งนี้เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม หยุดยั้งงานที่ทำเพื่อมนุษยธรรมในการช่วยเหลือผู้ป่วยได้รับยาแบบให้เปล่าหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กลุ่มทุนใหญ่สามารถผูกขาดการปลูก การสกัด และการจำหน่ายในอนาคตด้วยข้ออ้างในเรื่องความมีมาตรฐาน ใช่หรือไม่”
น.ส.รสนากล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำเพื่อแสดงความจริงใจว่าการปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นั้นทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ข้อแนะนำคือ ในกรณีของนายเดชา รัฐบาลควรให้มีหน่วยงานราชการ เช่น โรงพยาบาลของรัฐ อย่างร.พ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร , ร.พ ที่พะเยา หรือร.พ ใดๆ ที่มีความสนใจ และความพร้อม หรือมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนอย่าง มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้กับงานศึกษาวิจัยของคุณเดชา เพื่อให้การสกัดน้ำมันกัญชาเป็นไปอย่างมีมาตรฐานและความปลอดภัย และควรเชิญบุคคลอย่างนายแพทย์ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรค และอาการทางจิตประสาท มาร่วมเป็นพี่เลี้ยง หรือคณะกรรมการในการศึกษาและการวิจัย ซึ่งงานเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ในการสำรวจรวบรวมอาการของโรค ที่กัญชาสามารถใช้รักษา และบรรเทาอาการได้ หากทำได้เช่นนี้ ประชาชนจึงจะเชื่อในความจริงใจของรัฐบาลคสช.ว่ามุ่งปลดล็อคกัญชาเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นการจับกุมทีมงานและนายเดชา ศิริภัทร อาจกลายเป็นการสะท้อนนโยบายผูกขาดกัญชาเพื่อกลุ่มทุนใหญ่ของรัฐบาลคสช.ก็ได้ ใช่หรือไม่
ขณะที่ ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิบการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ผ่านเฟสบุค Arthit Ourairat ซึ่งเป็นภาพนายเดชา โดยภายในภาพเขียนข้อความว่า กฎหมายล้าหลัง ผู้แจกจ่ายน้ำมันรักษาโรคถูกจองจำเพื่อปลดทุกข์ผู้ป่วยโรคร้าย พร้อมทั้งเขียนระบุว่า “บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย ยุคศรีธนนชัย ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี”