
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ที่บริเวณสำนักงานกองบังคับการตำราจภูธรภาค 9 จังหวัดสงขลา นายเอกชัย อิสระทะ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.) ได้เดินทางเข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ได้ข่มขู่ กักขัง หน่วงเหนี่ยว จนทำให้สูญเสียอิสระภาพในระหว่างการเดินทางไปสังเกตการณ์ในเวทีรับฟังความเห็นโครงการสัมปทานเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม ต.คลองใหญ่ อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2562 อย่างไรก็ตามนายตำรวจที่เป็นผู้แทนอ้างว่าสำนักงานกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 9 ไม่ใช่สถานที่รับแจ้งความและแนะนำให้นายเอกชัยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองแทน

ทั้งนี้บริเวณด้านหน้าสำนักงานกองบังคับการตำรวจภูธรภาค 9 ได้มีชาวบ้านหลายสิบคนเดินทางมาให้กำลังใจนายเอกชัยพร้อมทั้งถือป้ายเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีและหาคนผิดมาลงโทษ
ทั้งนี้นายเอกชัยได้บันทึกสถานการณ์ถูกคุกคามไว้ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ได้เดินทางไปยังเวทีแสดงความคิดเห็น กรณีที่รัฐบาลเตรียมให้สัมปทานทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรม เพื่อร่วมสังเกตการณ์เวทีรับฟังความคิดเห็นของโครงการดังกล่าว ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทเอกชนรายหนึ่งและความรับผิดชอบของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพัทลุง
เมื่อเดินทางถึงมัสยิดอัล ซอลีฮีน อันเป็นสถานที่ประชุม ในเวลา 12.10 น. ตนได้ขับรถยนต์เข้าไปจอดที่บริเวณลานจอดรถของมัสยิด และสังเกตเห็นชายฉกรรจ์ประมาณกว่า 10 คน แต่งตัวไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปยืนคุมทางเข้าเวที ก่อนลงจากรถตนได้กดโทรศัพท์เพื่อบันทึกเสียง ด้วยเห็นว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ หลังจากนั้นเมื่อลงจากรถซึ่งในมือได้ถือโทรศัพท์พร้อมแบทเตอรี่แบบพกพา และสะพายกระเป๋าเอกสารสีเขียว เมื่อล็อครถจึงได้เก็บกุญแจเสียบไว้ที่หูกางเกงด้านขวาตามปกติ และเดินเข้าไปริมชายคาของอาคารใกล้ที่จอดรถ ได้มีชายไม่ทราบชื่อจำนวน 3 คน เข้ามาสอบถามว่ามีความเกี่ยวข้องกับเวทีนี้อย่างไร และมาจากหน่วยงานไหน ตนจึงตอบไปว่ามาจากอำเภอรัตภูมิ เพื่อเข้ามาสังเกตการณ์

“ 1 ใน 3 คนนั้น ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ที่นี่เข้าดับคน(เตรียม)ไว้หมดแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับเวทีนี้ก็จะไม่ให้เข้าประชุม หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงขอพบกับเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพัทลุง ในฐานะผู้รับผิดชอบการจัดเวทีในครั้งนี้ ชายคนเดิมได้ยกหูโทรศัพท์ติดต่อกับใครมิอาจทราบได้ แล้วแจ้งกับข้าพเจ้าว่า สำนักงานฯไม่รู้จักกับข้าพเจ้า และไม่ได้เชิญเข้าร่วมเวทีในครั้งนี้ ดังนั้นข้าพเจ้ายังยืนยันไปอีกครั้งว่าขอเข้าไปสังเกตการณ์ โดยจะไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ชายคนเดิมได้ยกหูโทรศัพท์อีกครั้งซึ่งไม่ทราบว่าเขาติดต่อกับผู้ใด จากนั้นได้ยืนโทรศัพท์ให้ข้าพเจ้าพูดกับคนที่กำลังพูดสายอยู่ ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นหัวหน้าทีมที่อุ้มข้าพเจ้าในเวลาต่อมา”นายเอกชัยระบุไว้ในบันทึก
ในบันทึกระบุว่า ระหว่างนั้นได้มีรถตู้ของสำนักงานอุตสากรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เข้ามาจอดข้างรถของตน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จำนวน 3 คน ทั้งหญิงและชาย เดินลงมาจากรถ ทางทีมงานชุดนี้จำนวนหนึ่งได้เดินเข้าไปสอบถามเช่นเดียวกัน แต่พอทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ชายกลุ่มดังกล่าวได้ปล่อยให้เดินเข้าเวทีประชุมได้ และตนพยายามที่จะเดินตามเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว แต่กลับถูกผลักและกันตัวให้เข้าไปอยู่ใต้ชายคาหน้าห้องเรียน ซึ่งตนพยายามตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าวให้รับรู้ว่าประสงค์ที่จะเข้าเวทีไปพร้อมกัน แต่ไม่มีผลอะไร แม้เจ้าหน้าที่บางคนจะหันมามองดู

ในบันทึกระบุว่า หลังจากนั้นชายที่บ่งบอกถึงความเป็นหัวหน้าทีมได้เดินทางเข้ามาพร้อมพวกอีกกว่า 10 คน ได้เข้ามาพูดคุยกับตนโดยถามว่ามากี่คน พร้อมแสดงเหตุผลแบบเดิม ซึ่งตนพยายามชี้แจงเหตุผลของการเข้าร่วมสังเกตการณ์เวทีในครั้งนี้ และยืนยันว่ามาคนเดียว ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งในกลุ่มเข้ามายึดโทรศัพท์มือถือพร้อมแบตเตอรี่แบบพกพาจากมือของตนแล้วเดินจากไป สักครู่หนึ่งเมื่อทราบว่ามีการบันทึกเสียงจึงเดินกลับมาพร้อมบอกให้ปลดล๊อคโทรศัพท์และให้ลบข้อความเสียงนั้นต่อหน้า จากนั้นหัวหน้ากลุ่มได้สั่งให้ลูกน้องนำตนไปเก็บไว้ในที่ใดที่หนึ่งก่อน จนกว่าจะเสร็จการประชุม และมีชายอีกคนหนึ่งดึงกุญแจที่เสียบอยู่ที่หูกางเกงด้านขวาของตน โดยชายอีกคนหนึ่งได้เข้ามายึดกระเป๋า(เป้สะพายหลัง)และได้ค้นหากระเป่าสตางค์เพื่อหาบัตรประจำตัวประชาชนจนพบ แล้วถ่ายภาพบัตรด้วยโทรศัพท์มือถือไว้ และได้คืนเฉพาะกระเป๋าสตางค์ จากนั้นจึงปลดสายรัดข้อมือสุขภาพ ที่มีลักษณะเป็นนาฬิกา เนื่องจากกลุ่มคนดังกล่าวเห็นว่าสามารถส่งสัญญาณบรูธูทได้เอาไปเก็บไว้ด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นได้มีรถยนต์ใหญ่ 7 ที่นั่งสีขาว ติดฟิล์มสีดำทึบ ถอยเข้ามาตรงจุดที่ตนยืนอยู่และชายที่รายล้อมทั้งหมดได้บังคับให้ตนขึ้นรถคันดังกล่าวแล้วขับออกไป
ในบันทึกของนายเอกชัยระบุว่า สถานการณ์บนรถ ตนถูกจัดให้นั่งตรงกลางเบาะรถด้านหลัง โดยมีชายจำนวน 4 คน ทำหน้าที่ควบคุมและมีหัวหน้าทีมนั่งประกบด้านขวา ก่อนออกจากมัสยิดหัวหน้าทีมได้สั่งให้ลูกน้องอีกคนขับรถยนต์ของตนตามไป ส่วนสิ่งของที่ได้ยึดไว้ก่อนหน้านี้ได้มีชายอีกคนหนึ่งเก็บไว้ที่มัสยิด ทั้งนี้ชายผู้เป็นหัวหน้าทีมได้ออกคำสั่งให้คนขับรถขับไปยังรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นโรงแรมสกายปาร์ควิว ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 7 ต.หนองธง อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ระยะทางจากที่ถูกควบคุมตัวมาจนถึงโรงแรมประมาณ 13 กิโลเมตร
บันทึกของนายเอกชัยระบุว่า เมื่อถึงโรงแรม ได้ถูกนำตัวไปเป็นห้องลำดับที่ 5 แล้วจึงมีชายคนหนึ่งในรถได้เข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ในขณะที่รถของตนได้มีชายอีกจำนวนหนึ่ง(ซึ่งไม่ทราบแน่ชัด) ได้นำเข้ามาจอดในบริเวณหน้าห้องที่ถูกกักขัง จากนั้นชายผู้เป็นหัวหน้าทีมได้สั่งให้ลูกน้องเฝ้าระวังประตูหน้า และประตูหลังของที่พัก โดยมีชายหนึ่งคนเข้ามาอยู่ร่วมกันในห้อง ตนได้สอบถามชายคนนั้นว่าจะปล่อยตัวหรือไม่ เมื่อไหร และอย่างไร แต่ไม่ได้รับคำตอบ
“จนกระทั่งเวลา 15.40 น. ชายผู้เป็นหัวหน้าทีมเดินทางมาที่โรงแรม และเข้ามาหาข้าพเจ้าพร้อมกับยื่นสายรัดข้อมือสุขภาพ พร้อมกับโทรศัพท์และแบตเตอรี่แบบพกพาให้กับข้าพเจ้า พร้อมกับพูดในเชิงข่มขู่ว่าจะปล่อยตัวไป แต่ต้องไม่มีการแจ้งความ หรือเอาความใดๆ และห้ามยุ่งเกี่ยวกับโครงการสัมปทานภูเขาลูกนี้อีกต่อไป และยังข่มขู่ไปอีกว่าหากไม่เป็นไปตามนี้ก็จะไม่รับรองความปลอดภัยใดๆ เพราะพวกตนรู้หมดแล้วว่านายเอกชัยพำนักอยู่ที่ไหน”บันทึกของนายเอกชัยระบุ
ในบันทึกยังระบุว่า หลังจากนั้นตนได้ออกจากห้องและเดินไปที่รถ ซึ่งจอดอยู่ด้านหน้าที่ห้องพัก พบว่ามีการรื้อค้นสิ่งของภายในรถและกล้องติดหน้ารถหายไป จึงถามกับชายผู้เป็นหัวหน้าทีม ซึ่งขณะนั้นได้นั่งอยู่ในรถเก๋งสีดำด้านหน้าติดกับคนขับรถ ซึ่งมีลูกน้องนั่งอยู่ด้านหลังอีก 2 คน ว่า “กล้องติดรถของข้าพเจ้าหายไป” เขาจึงสอบถามและสั่งการไปยังลูกน้องอีกคนหนึ่งโทรศัพท์ไปติดตามกับอีกคนหนึ่ง จากนั้นจึงบอกให้รอรับกล้อง จากนั้นจึงบอกให้ตนลบข้อมูลที่อยู่ในตัวเครื่อง เมื่อดำเนินการตามนั้นแล้วจึงสั่งให้ขับรถออกไป โดยกลุ่มคนดังกล่าวได้ขับรถตามหลัง จนถึงสามแยกป่าบอนจึงได้แยกเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
ขณะที่เครือข่ายภาคประชาชนหลายองค์กร อาทิ สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ (กป.อพช.ใต้) ได้ออกแถลงการณ์ประนามการกระทำของกลุ่มผู้มีอิทธิพลในครั้งนี้ โดย ในแถลงการณ์ของ กป.อพช.ใต้ได้เรียกร้องขอให้เร่งดำเนินคดีข่มขู่คุกคามนักปกป้องสิทธิชุมชนด้วยความเป็นธรรมโดยระบุว่า สถานที่จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ที่จัดขึ้น ถือได้ว่าเป็นที่สาธารณะของชุมชน และการเข้ารับฟังความคิดเห็นในเวทีดังกล่าวนั้นได้เปิดกว้างให้กับประชาชนผู้มีส่วนได้เสียสามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ การที่นายเอกชัย อิสระทะ มีความประสงค์ที่จะเข้าไปสังเกตการณ์ในเวทีดังกล่าว แต่กลับถูกชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน เข้าประกบและควบคุมตัวนำไปกักขังไว้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง พร้อมข่มขู่ว่าจะไม่รับรองความปลอดภัยหากนำเรื่องนี้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังมีการกักกันตัวกลุ่มนักข่าวจากหลายสำนักที่จะเข้าไปทำข่าวในเวทีดังกล่าว จนทำให้สูญเสียอิสรเสรีภาพในการทำหน้าที่ ซึ่งหลังจากนั้นนักข่าวกลุ่มนี้ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงไปแล้ว
“กป.อพช.ขอประณามการกระทำดังกล่าว ด้วยถือเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และยังเป็นการคุกคามกับนักปกป้องสิทธิชุมชนที่มีบทบาทด้านการอนุรักษ์คุ้มครองสิ่งแวดล้อมระดับภาค และระดับประเทศอย่างรุนแรง ขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้ขอให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เร่งดำเนินการกับคดีนี้อย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ทั้งนี้จะขอติดตามความคืบหน้าอีกครั้งในอีก 7 วันข้างหน้า”ในแถลงการณ์ระบุ
นายเอกชัยให้สัมภาษณ์ว่า พฤติการของกลุ่มดังกล่าวไม่เกรงกลัวกฎหมาย และทำกันเป็นขบวนการ จึงอยากเห็นการสืบสวนสอบสวนโดยใช้ตำรวจนอกพื้นที่ จึงได้มาที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 9 เพื่อให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการฯเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมในการดำเนินการกับผู้ที่ทำผิดกฎหมาย
“หากกลุ่มผู้มีอิทธิพลมารับจ้าง แต่กลับมีอำนาจเหนือภาครัฐ เราเห็นถึงการที่ผู้มีอิทธิพลหลายพื้นที่เข้ามาจัดการผู้ประมูลงานที่เป็นอิสระเช่นเดียวกับที่กักขังตน ทำให้เกิดการสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม” นายเอกชัย กล่าว