
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 สำนักข่าวดีวีบี (DVB) รายงานว่า กระทรวงไฟฟ้าและพลังงาน ภายใต้รัฐบาลทหารพม่าประกาศว่าจะจ่ายไฟลดลงและจะตัดไฟฟ้า 24 ชั่วโมงในบางพื้นที่เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-18 มีนาคม ขณะนี้ในเมืองย่างกุ้งและเมืองอื่นๆ ไฟฟ้าดับและสถานการณ์กำลังแย่ลง โดยบางแห่งประกาศว่าไฟฟ้าจะดับในสุดสัปดาห์นี้ จึงประกาศให้ประชาชนทราบและเข้าใจถึงความไม่สะดวกโดยบางพื้นที่จะมีการลดกำลังไฟฟ้า 24 ชั่วโมงซึ่งลดลงไปทั้งหมด 1,304 เมกะวัตต์ รวมถึงไปจะลดลงอีก 334 เมกะวัตต์ ในขณะที่กำลังเชื่อมต่อท่อส่งก๊าซที่จะมีอยู่นอกชายฝั่งของโครงการก๊าซนอกชายฝั่งชเว
ปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้ารวม 2,177 เมกะวัตต์ โดย 667.8 เมกะวัตต์มาจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศพม่า 1,500.3 เมกะวัตต์จากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าถ่านหิน และไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลประมาณ 8.9 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้งหมดจะถูกส่งไปยังระบบพลังงานของประเทศ อย่างไรก็ตามข้อมูลของกระทรวงไฟฟ้าพบว่า ค่าเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้าของประเทศอยู่ที่ประมาณ 3,400 เมกะวัตต์ต่อวัน พลังงานสูงสุดในเวลากลางคืนคือ 3,600 เมกะวัตต์ และความต้องการเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 2,600 เมกะวัตต์
ขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดของพม่าอยู่ที่ประมาณ 4,200 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามโรงผลิตไฟฟ้า LNG ขนาด 750 เมกะวัตต์ ได้ปิดตัวลงเนื่องจากราคา LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ที่สูงขึ้น อีกทั้งสายไฟที่ส่งกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำบีหลู่ชองถูกระเบิด จึงอยู่ระหว่างการซ่อมแซม ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าโดยรวมลดลงต่อเนื่อง 970 เมกะวัตต์ เพื่อควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวจึงจำเป็นต้องจ่ายไฟฟ้าแบบหมุนเวียน
ทั้งนี้สถานการณ์ไฟฟ้าดับและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศพม่า รวมถึงย่างกุ้ง ได้ผลักดันให้ต้นทุนการขนส่งและการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น