Search

รุมจวกรัฐบาลปล่อยค่าไฟฟ้าแพง เหตุพลังงานสำรองท่วมท้นแต่ต้องเสีย “ค่าความพร้อมจ่าย” เครือข่ายน้ำโขง ร้องกมธ.คุ้มครองผู้บริโภค ย้ำซื้อไฟจากเขื่อนลาวเพิ่มไม่จำเป็น ซ้ำภาระให้ชั่วลูกหลาน “เดชรัต”แนะ “ประยุทธ์”หยุดสร้างโรงไฟฟ้าส่วนเกิน

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2565 เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงได้ส่งหนังสือร้องต่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)คุ้มครองผู้บริโภค เพื่อขอให้ตรวจสอบและชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศและการขยายการขายไฟฟ้าไปยังต่างประเทศท่ามกลางวิกฤตพลังงานสำรองล้นประเทศและค่าไฟแพง โดยในจดหมายระบุว่า ปัจจุบันกำลังผลิตในระบบไฟฟ้าของประเทศไทยปัจจุบันนี้ มีพลังงานสำรองสูงมาก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 กำลังการผลิตของไฟฟ้าทั้งระบบ คือ 46,136 เมกะวัตต์ (MW) ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดของเดือนเดียวกันอยู่ที 27,672.50 เมกะวัตต์ เท่ากับว่าประเทศไทยมีปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงมากถึง 48 %

ในจดหมายระบุว่า ปริมาณไฟฟ้าสำรองที่สูงมากทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นในระยะยาว  อันมีสาเหตุมาจากการวางแผนด้านนโยบายพลังงานที่มีคาดการณ์ปริมาณการผลิตไฟฟ้าและความต้องการที่มากเกินไปไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงด้านเศรษฐกิจ และปัญหาจากการทำสัญญาระยะยาวอย่างน้อย 25 ปี ในระบบที่เรียกว่า Take or Pay หรือ ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย และการอนุมัติซื้อไฟฟ้าจาก 4 เขื่อนขนาดใหญ่ จากสปป.ลาว คือ เขื่อนน้ำงึม 3 เขื่อนปากลาย เขื่อนปากแบง และเขื่อนหลวงพระบาง ในราคารับซื้อที่แพงกว่าค่าไฟฟ้ารับซื้อจากสปป.ลาวอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ราคา 1.95 บาท/หน่วย เท่านั้น   เมื่อเทียบแล้วเป็นอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัว อีกทั้ง การขายไฟฟ้าให้สิงคโปร์ที่กำหนดราคาขายเพียง 3.1584 บาทต่อหน่วย เมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อมา จะมีกำไรเพียงประมาณ 0.2 – 0.3 บาทต่อหน่วยเท่านั้น

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ จ.เชียงราย กล่าวว่า การอนุมัติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติดังกล่าว เหมือนการไม่รับฟังเสียงของประชาชนริมฝั่งโขงเลย ที่ผ่านมาพวกเราได้ส่งหนังสือเพื่อชี้แจงเหตุผลที่รัฐไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานจากเขื่อนขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขง เพราะผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมข้ามพรมแดนต่อเนื่องประจักษ์ชัดเจนต่อสายตาของทุกคนในโลกแล้ว การดันทุรังที่จะผลักดันให้มีเกิดการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะเขื่อนปากแบง เขื่อนหลวงพระบาง ที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยในเขตจังหวัดเชียงรายนั้น ประชาชนก็ยิ่งหวั่นใจมาก เพราะตอนนี้การแก้ไขปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนของแม่น้ำโขงโดยหน้าที่ของรัฐยังไม่มีกลไกที่ชัดเจน และการแสดงความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนที่เป็นผู้ลงทุนสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขง  พวกเราเครือข่ายจึงอยากขอเรียกร้องให้ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค ตรวจสอบการอนุมัติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อกรณีดังกล่าว เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและผู้บริโภคของไทย

นายชาญณรงค์ วงศ์ลา ตัวแทนเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขง 8 จังหวัด จ.เลย  กล่าวว่า การซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนแม่น้ำโขง ทั้ง 3 แห่ง และเขื่อนน้ำงึม 3 นั้น ถือเป็นการซื้อมาในราคาที่สูงกว่าปกติ และยิ่งจะทำให้ค่าไฟของประชาชนนั้นแพงมากขึ้นและเป็นภาระของผู้บริโภคอย่างเห็นได้ชัดในระยะยาว เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในลาวท่ามกลางสภาพฝืดเคืองทางเศรษฐกิจและกำลังสำรองไฟฟ้าของประเทศไทยที่ยังมีระดับสูงมากอย่างไม่มีความสมเหตุสมผล จะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่าย หากพิจารณามันไม่ใช่การจัดหาพลังงานให้กับระบบของประเทศ แต่เหมือนกับการจะผลักภาระต่างให้ประชาชนมากขึ้น

ขณะที่นายเดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการ ได้โพสต์เฟสบุคระบุว่า ปัจจุบัน ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2565 เท่ากับ 30,348.8 เมกะวัตต์ (ยังเพิ่มได้อีกตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น) และความต้องการไฟฟ้าสูงสุดที่เคยเกิดขึ้น (ในปี 2562) เท่ากับ 30,853.2 เมกะวัตต์ แต่เรามีกำลังการผลิตติดตั้งทั้งของการไฟฟ้าและของเอกชนรวมกันเท่ากับ 46,136.4 เมกะวัตต์ เลยทีเดียว โดยทั่วไป เราต้องมีกำลังการผลิตสำรองประมาณ 15% เมื่อบวกกับความต้องการกำลังไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 35,481.2 เมกะวัตต์ (คิดจากความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2562) แต่เรามีโรงไฟฟ้า = 46,136.4 เมกะวัตต์ หรือเกินไป 10,655 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตสำรองสูงถึง 50% กำลังการผลิตที่เกินไป 10,000 กว่าเมกะวัตต์ ถ้าเทียบกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน 800 เมกะวัตต์ ก็เท่ากับมีโรงไฟฟ้าล้นเกินอยู่ในระบบประมาณ 13 โรง

นักวิชาการผู้นี้ระบุด้วยว่า ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่โรงไฟฟ้าหลายแห่งของเอกชนหยุดเดินเครื่องมากกว่า 2 ปี แต่ประชาชนยังต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่าย” ให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนเหล่านั้นมาตลอด

“ฝากคุณประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี )ไปหารือกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเพื่อไปเจรจากับโรงไฟฟ้าเหล่านี้ครับ เพราะปัจจุบันค่าไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้สูงมากและกลายเป็นภาระกับประชาชน ค่าซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ 3.598 บาท/หน่วย ค่าซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก 4.067 บาท/หน่วย ในขณะที่การไฟฟ้ารับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่บ้านผมเพียง 2.2 บาท/หน่วย เท่านั้น ฝากคุณประยุทธ์ช่วยพิจารณาบทบาทของคุณในฐานะนายกรัฐมนตรีหน่อยว่า คุณควรจะทำอะไร ส่วนคุณจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในบ้านหลวงที่คุณพักอาศัยอยู่ ผมก็รับทราบครับ แต่อยากให้ทำหน้าที่ของรัฐบาลให้ดีกว่านี้”นายเดชรัต กล่าว

ทั้งนี้ในวันที่ 20 มีนาคม 2563 เวลา 13.00 -16.00 น นี้ สภาองค์กรผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับเครือขายสิ่งแวดล้อม เครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง จะได้จัดเวทีเสวนาออนไลน์ เรื่อง “เปิดข้อมูลต้นเหตุค่าไฟฟ้าแพง ใครได้ประโยชน์  และทางรอดของประชาชน”โดยจะมีการเปิดเผยข้อมูลและสาเหตุภาพรวมสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน และพีคไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด ปัญหาการวางแผนผลิตไฟฟ้าที่เกินปริมาณสำรองไฟฟ้าจนเกิดเป็นภาระของประชาชนและประเทศ โรงไฟฟ้า IPP ที่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า แต่ประชาชนต้องจ่ายเงินแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน รายชื่อโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่(IPP) ที่ประชาชนต้องแบกรับภาระ เปิดข้อมูลราคารับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่มีราคาค่าไฟฟ้าสูงกว่าทุกกลุ่มต้นตอของค่า Ft ที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดเล็กจำนวนมากฝังตัวรับผลประโยชน์แบบตีเนียนไปกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เปิดรายชื่อโรงไฟฟ้า SPP ก๊าซธรรมชาติที่ฝังตัวอยู่ในกลุ่ม SPP พลังงานหมุนเวียน เปิดข้อมูลธุรกิจก๊าซธรรมชาติ เบื้องหลังต้นทุนเชื้อเพลิงที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง กับผลกำไรมหาศาลของธูรกิจก๊าซธรรมชาติ เปิดข้อมูลไฟฟ้าล้นระบบแต่รัฐบาลยังนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศลาวด้วยราคาที่แพงกว่าราคาค่าไฟฟ้าที่รับซื้อจากโซลาร์ภาคประชาชน และยังสร้างผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมไทย-ลาวสองฝั่งน้ำโขงจำนวนมาก ข้อเสนอทางรอดของประชาชน ต้านค่าไฟฟ้าแพงอย่างยั่งยืน และเตรียมยื่นข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟแพงต่อกระทรวงพลังงานต่อไป

อนึ่งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อจากโครงการเขื่อนน้ำงึม 3 ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.8934 บาทต่อหน่วย โครงการเขื่อนปากแบง ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.7935 บาทต่อหน่วย โครงการเขื่อนปากลาย ในอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.9426 บาทต่อหน่วย  ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ ร่างบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอโดยเพิ่มปริมาณกำลังการผลิตขึ้นอีก 1,500 เมกะวัตต์ จากปริมาณกำลังผลิตเดิม 9,000 เมกะวัตต์ รวมปริมาณกำลังผลิตเป็น 10,500 เมกะวัตต์ เพื่อขายพลังงานไฟฟ้าให้กับไทย โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับผิดชอบในการซื้อขายไฟฟ้า

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติพิจารณาเห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อจากโครงการหลวงพระบาง 2.8432 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) เดือนมกราคม 2573 และโครงการปากแบง 2.9179 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบ (COD) เดือนมกราคม 2576 โดยอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะคงที่ตลอดอายุสัญญา และได้มอบหมายให้ กฟผ. ลงนามในร่าง Tariff MOU โครงการหลวงพระบาง และโครงการปากแบง ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) แล้ว และให้ กฟผ. สามารถปรับปรุงเงื่อนไขในร่าง Tariff MOU ของโครงการหลวงพระบาง และโครงการปากแบง ในขั้นตอนการจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม แต่ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบอัตราค่า Wheeling Charge ของไทย และหลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวไปประเทศสิงคโปร์ ผ่านระบบส่งของประเทศไทยและมาเลเซีย (LTMS – PIP) ในอัตราเท่ากับ 3.1584 US Cents/หน่วย หรือประมาณ 3.1584 บาท/หน่วย ระยะเวลาโครงการ 2 ปี

———————-

On Key

Related Posts