
วานนี้ 6 พ.ค.2565 สำนักข่าว Irrawaddy ได้สัมภาษณ์ ดร.Salai Lian Hmung Sakhong รองหัวหน้าพรรคแนวร่วมแห่งชาติชิน (Chin National Front – CNF) และยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีฝ่ายกิจการสหภาพสหพันธรัฐ ในรัฐบาล NUG ถึงประเด็นที่ว่า คิดเห็นอย่างไรที่พลเอกมิ้นอ่องหล่าย เชิญกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างๆ เข้าร่วมเจรจาสันติภาพ ทางผู้นำชินระบุว่า มิ้นอ่องหล่ายนั้นยึดอำนาจอย่างผิดกฎหมาย และตัวผู้นำเผด็จกองทัพพม่าไม่มีความชอบธรรม โดยเตือนกลุ่มคนที่จะไปเจรจากับกองทัพพม่าให้พิจารณาให้ถี่ถ้วน
ดร.Salai Lian Hmung Sakhong ยังกล่าวว่า การพูดคุยเจรจาสันติภาพในหลายระดับที่ผ่านมา มีเป้าหมายที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2008 (ซึ่งกองทัพพม่าเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้น) ตามข้อตกลงหยุดยิงแห่งชาติ อย่างไรก็ตามหลังการรัฐประหาร ประชาชนรวมไปถึง สส.ที่ได้รับเลือกตั้งก็ได้ออกมาประกาศไม่ยอมรับและยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะจัดเจรจาสันติภาพอีก และหากจะมีการเจรจาสันติภาพก็ควรจัดโดยรัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือก ไม่ใช่จัดโดยทหาร
และเมื่อถามถึงกรณีว่า เหตุใดกองทัพพม่าถึงไม่เชิญกองทัพ PDF และรัฐบาล NUG เข้าร่วมเจรจาด้วย ทางผู้นำชินมองว่า การจัดเจรจาสันติภาพของกองทัพพม่าไม่ได้ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง การจัดการประชุมเจรจาสันติภาพก็เพื่อรักษาอำนาจของกองทัพต่อไปเท่านั้น รัฐบาล NUG เกิดขึ้นมาจากประชาชนที่ลงเสียงโหวตให้กับพรรคเอ็นแอลดีอย่างท้วมท้นในการเลือกตั้งเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีส่วนร่วมในการปฏิวัติมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกัน PDF ก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องประชาชนจากกองทัพ ดังนั้นทั้ง NUG และ PDF เกิดมาจากประชาชน จึงเป็นตัวแทนของชาติและประชาชน ดังนั้นหากการเจรจาไม่มีทั้ง NUG และ PDF ก็จะไม่ได้คำตอบอะไร
“โฆษกของกองทัพพม่าพูดแกมขู่ว่า หากกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ยอมมาร่วมเจรจา จะต้องสูญเสีย ประชาชนต้องสูญเสียแค่ไหนตั้งแต่กองทัพรัฐประหาร อีกกี่ชีวิตที่ต้องสูญเสีย เกิดอะไรขึ้นในเมืองตั้นลาง รัฐชิน อีกกี่ชีวิตที่พวกเขาต้องการฆ่า พวกเขาทำลายชีวิตคนมากมาย มีอะไรที่เราต้องสูญเสียอีกหรือ?” ดร.Salai Lian Hmung Sakhong กล่าว
นอกจากนี้ ดร.Salai Lian Hmung Sakhong ยังกล่าวว่า จากประสบการณ์ของเขาที่เข้าร่วมในการเจรจาสันติภาพตั้งแต่ ปี 2555 – 2565 กองทัพพม่าคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพูดคุยเจรจาสันติภาพในพม่าไม่บรรลุตามเป้าหมาย โดยทางรัฐบาลนางซูจีและกลุ่มชาติพันธุ์นั้นมีข้อเรียกร้องที่คล้ายคลึงกัน แต่ท้ายที่สุด กองทัพพม่าจะปฏิเสธข้อเรียกร้องหรือข้อบรรลุที่ทำร่วมกันเหล่านั้น
“เราเรียกร้องที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองและความเสมอภาค แต่กองทัพก็หยุดยั้งเราตั้งแต่ปี 2560” ดร.Salai Lian Hmung Sakhong ยังกล่าวว่า การขัดขวางการก่อตั้งสหพันธรัฐที่แท้จริง ไม่ใช่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่กองทัพพม่าในยุคนายพลเนวินขัดขวางมาตั้งแต่ปี 2505 โดยอ้างว่า กองทัพพม่าเป็นผู้กอบกู้ประเทศที่กำลังล่มสลายเพราะกลุ่มชาติพันธุ์ต้องการแยกตัวออกไป ดังนั้นจึงทำให้การก่อตั้งสหพันธรัฐที่แท้จริงเกิดขึ้นไม่สำเร็จ ตนจึงอยากเรียกร้องทุกกลุ่มว่า ให้ปฏิเสธการเข้าร่วมการเจรจากับกองทัพพม่า เพราะเบื้องหลังแท้จริงแล้ว มิ้นอ่องหล่ายต้องการรักษาอำนาจของตัวเองออกไปเท่านั้น และหากเข้าร่วมยิ่งจะทำให้ประชาชนทุกข์ทรมานมากเท่านั้น
“ผมขอร้องทุกพรรคการเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธอย่ายืนข้างมิ้นอ่องหล่าย แต่ให้เป็นตัวแทนของประชาชน ประวัติศาสตร์จะเสื่อมเสียหายอย่างที่สุด หากคุณคบเพื่อนผิด” ดร.Salai Lian Hmung Sakhong กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่มีบทวิเคราะห์จากสื่อ Irrawaddy เช่นกันว่า เบื้องหลังการเรียกร้องให้กลุ่มชาติพันธุ์มาเจรจาครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะมาจากสาเหตุที่ขณะนี้กำลังพลของกองทัพพม่ากำลังเหนื่อยล้าจากการทำสงครามกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ และกองทัพเพื่อประชาชน PDF ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ ใน 30 เขตที่มีกองทัพพม่าประจำอยู่นั้น ขณะนี้ต้องเข้าร่วมปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องทางทหารและความมั่นคงไม่ได้หยุดพัก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และหากเข้าฤดูฝน กองทัพพม่าไม่สามารถที่จะปฏิบัติการโจมตีทางอากาศได้ และนั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่กองทัพพม่าหวั่นว่าฝ่ายตรงข้ามจะรุกคืบและสูญเสียพื้นที่ควบคุมให้ฝ่ายตรงข้าม จึงน่าจะเป็นสาเหตุให้มิ้นอ่องหล่ายออกมาขอเจรจาเพื่อซื้อเวลาให้ทหารในกองทัพได้มีเวลาพัก
นอกจากนี้ เขตมะกวยและเขตสะกาย ที่ปกติแล้วเป็นพื้นที่ที่ส่งกำลังพลเข้ากองทัพพม่ามากที่สุด กลับกลายเป็นพื้นที่ที่มีทหาร PDF เคลื่อนไหวและต่อสู้กับกองทัพพม่าอย่างเข้มแข็ง ขณะนี้กำลังพลทั่วประเทศของ PDF คาดว่ามีอยู่ราว 100,000 คน และขณะนี้กองทัพ PDF กำลังเติบโตขึ้นทั้งด้านกำลังพลและอาวุธตามลำดับ เช่น ทหาร PDF ใช้อาวุธที่ทันสมัยเช่น ปืนไรเฟิลและโดรนโจมตีทหารพม่า ขณะที่สิ่งที่แสดงให้เห็นว่ากองทัพพม่ากำลังขาดแคลนกำลังพลนั่นคือ กองทัพพม่ายืดอายุราชการที่จะเกษียนออกไปอีก 2 ปีเพื่อทดแทนกำลังที่ขาด หรือการเรียกทหารที่เกษียนไปแล้วกลับมาประจำการ หรือแม้แต่การก่อตั้งกองทหารอาสาสมัคร “ปิ่วซอตี” เพื่อมาช่วยในการรบกับกลุ่มต่อต้านเป็นต้น
ผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์บางส่วนให้สัมภาษณ์กับสื่อ Irrawaddy ว่า หากกองทัพพม่าต้องการเจรจาสันติภาพจริงๆ ก็ควรที่จะสั่งให้หยุดปฏิบัติการทางทหารทั้งหมด แต่ขณะนี้ทางกองทัพพม่ายังคงเดินหน้าโจมตีในเขตพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง มีการวิเคราะห์อีกว่า หากกลุ่มติดอาวุธและ PDF สามารถรักษาระดับแรงกดดันทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองต่อกองทัพพม่าต่อไปได้ เชื่อว่า มิ้นอ่องหล่ายจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก