
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2565 พล.ต. เนอดา โบ เมียะ ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์กะเหรี่ยงแห่งชาติ (Karen National Defense Organization-KNDO ) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวชายขอบถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ากองกำลังของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) และพันธมิตร ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่สู้รบบริเวณฐานทหารพม่าใกล้หมู่บ้านอูแกร้ท่า ภายหลังจากกองทัพพม่าใช้เครื่องบนรบ MiG-29 โจมตีอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ว่าจริงๆแล้วการยึดค่ายทหารพม่าดังกล่าวเสร็จสิ้นไปตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว โดยเราได้เผาทำลายและยึดอาวุธของทหารพม่าได้จำนวนมาก หลังจากเครื่องบินรบของพม่าเริ่มปฎิบัติการ ทหาร KNU และพันธมิตรได้แยกย้ายกระจายตัวออกไปตั้งแต่วันนั้น ทำให้ไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ แต่กองทัพพม่าต้องการเคลียร์พื้นที่ จึงใช้เครื่องบินรบทิ้งระเบิดในเขตพลเรือน เช่น ที่หมู่บ้าน เส่บอโบ ซึ่งทำให้มีชาวบ้านเสียชีวิต และบางส่วนอพยพข้ามมาประเทศไทย
“ตอนนี้กองทัพ KNU และPDF (People’s Defense Force-กองกำลังพิทักษ์ประชาชน) ยังคงปฎิบัติการอยู่เช่นเดิม จนกว่าจะผลักดันทหารพม่าออกไปจากพื้นที่ให้หมด เพียงแต่เราไม่ได้เฝ้าอยู่ที่ฐานทหารพม่าที่เรายึดได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็ถูกเครื่องบินรบถล่ม ตอนนี้ทหารพม่าพยายามกลับมาตั้งฐานในที่เดิม แต่ก็ไม่เป็นไร ต่างคนต่างอยู่กันไปก่อน แต่เราจะมาเรื่อยๆ ครั้งนี้เราแค่ทดสอบ” พล.ต.เนอดา โบ เมียะ กล่าว
ผู้บัญชาการ KNDO กล่าวว่าปฏิบัติการครั้งนี้เราสูญเสียน้อยมาก เมื่อเทียบกับกองทัพพม่าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บราว 200 นาย แถมเรายังยึดอาวุธได้อีกจำนวนมาก เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์ในบริเวณนี้คงคลี่คลายลง ตอนนี้ทหารพม่ากำลังพุ่งเป้าไปในพื้นที่กองพล 3 ของ KNU
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่เครื่องบินรบพม่าล่วงล้ำแดนไทยเป็นความตั้งใจหรือไม่ พล.ต.เนอดา โบ เมียะ กล่าวว่า เชื่อว่าเป็นความตั้งใจ เพราะทหารพม่ามีความไม่พอใจไทยอยู่แล้ว เพราะเขาเชื่อว่าไทยว่าช่วยสนับสนุนสด้านอาวุธให้กับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่สำคัญเหมือนที่ตนเคยพูดไปคือคนขับ MiG-29 ไม่ใช่ทหารพม่า โดยดูจากลักษณะการบินขึ้น-ลงและจู่โจม เป็นรูปแบบเดียวกันกับที่ทหารรัสเซียโจมตียูเครน หากมีนักบินพม่าจะไม่มีความชำนาญในการยิงเช่นนี้
“จริงๆ แล้วไม่มีประเทศไหนในโลกเขาจู่โจมคนประเทศเดียวกันด้วยเครื่องบินรบแบบนี้ ยิ่งเป็นการโจมตีพลเรือนด้วยแล้ว ไม่มีใครเขาทำกัน ทำให้ผมคิดไปว่า บางทีกองทัพพม่าเขาอาจคิดว่าเราเป็นประเทศกะเหรี่ยงซึ่งเป็นคนละประเทศกับเขา จึงใช้วิธีการเช่นนี้ ทำให้พวกเราคิดถึงการประกาศเป็นประเทศกอทูเล ” ผู้บัญชาการKNDO
พล.ต.เนอดา โบ เมียะ กล่าวถึงข้อเสนอให้พื้นที่ชายแดนเป็น no-fly zone หรือเขตห้ามบิน ว่าเห็นด้วยเพราะพื้นที่เหล่านี้มีพลเรือนอยู่เยอะโดยเฉพาะเด็กและผู้หญิงซึ่งต้องได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยเครื่องบินรบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกรณีที่กองทัพพม่าชวนผู้นำกองกำลังชาติพันธุ์บางกลุ่มไปร่วมเจรจา พล.ต.เนอดา โบ เมียะ กล่าวว่า เชื่อว่าไม่มีอะไรดีขึ้น และเป็นวิธีการหลอกลวงของกองทัพพม่ามากกว่า เพราะเท่าที่ตนจำได้ตั้งแต่ตนเกิดมา พ่อ (นายพลโบเมียะ อดีตประธาน KNU) ได้รับเชิญให้ไปเจรจากับกองทัพพม่าไม่รู้กี่ครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนจึงยังเชื่อคำพูดของทหารพม่าอยู่แทนที่จะคิดถึงพี่น้องของตัวเองที่กำลังเผชิญความยากลำบากอยู่ในตอนนี้

ขณะที่ ศ.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและนายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำโมซัมบิก และคาซัคสถาน ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Politics โดย ศ.สุรชาติ กล่าวว่า ก่อนวันเกิดเหตุที่เครื่องบินรบพม่าจะรุกล้ำไทย แม่ทัพภาค 3 ได้เดินทางไปกรุงเนปีดอว์ และพบกับ พล.อ.มินอ่องลาย วันถัดมาก็เกิดเรื่องเครื่องบิน MiG29รุกล้ำ จึงไม่มีทางให้คิดเป็นอื่น การพบครั้งนี้ได้มีการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อให้เครื่องบินตีวงหรือไม่ เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่จงอย ที่ผ่านมาเราระแวดระวังน่านฟ้ามาก เจ้าหน้าที่ศูนย์ยุทธการทางอากาศเฝ้าระวังอยู่ตลอด เรื่องนี้ตนไม่คิดว่าเป็นความผิดระดับเจ้าหน้าที่ ปัญหาคือขั้นตอน procedure เคสแบบนี้หากเป็นต่างประเทศจะต้องมีนายทหารระดับสูงลาออก
ศ.สุรชาติกล่าวว่า เชื่อว่าข้อมูลงานการข่าวฝ่ายทหารคงรู้ว่าเครื่อง MiG29 ขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อเครื่องบินมาระดับหนึ่งระบบป้องกันทางอากาศ RTAD ก็จะทราบ เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นจะมีขั้นตอนทางการทหาร ที่จะเพิ่มระดับจนถึงนักบินเอาเครื่องขึ้นเพื่อเตือน ซึ่งกรณีนี้คือไม่ใช่แค่การใกล้ชายแดนแต่เป็นการล้ำเข้ามา และพบว่ามีการโจมตีบริเวณชายแดนหลายระรอกไม่ใช่ครั้งเดียว เป็นโจทย์ชุดใหญ่ของไทยว่าเราลงทุนระบบป้องกันทางอากาศที่เราคาดหวัง ตั้งแต่เวียดนามรุกเข้ามาในลาว RTAD เป็นระบบที่ดีที่สุดหนึ่งที่เรามีอยู่ หากจะมีปัญหาก็ควรแจ้งให้ทราบ
“ตอนนี้ทำให้เกิดการตีความทางเดียวว่าเหมือนกับแม่ทัพภาค 3 ไปแล้วก็เกิดเหตุ ใครเป็นคนให้แม่ทัพภาค 3 ไป เพราะเวลานี้เขาไม่ไปพม่ากัน มันเหมือนไปแสดง solidarity ว่าฉันอยู่ข้างเธอ มีผลให้ไทยตกเป็นจำเลยนานาชาติ เป็นภาวะที่จะถูกหวาดระแวงจากชนกลุ่มน้อยที่เขามีความหวังกับเรามาก วาทกรรมว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่เดินตัดสนามหญ้า วันนี้คนไทยไม่รับแล้ว ทหารถูกสร้างให้มีความสำคัญในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ผมไม่อยากใช้คำว่าเป็นรั้วผุๆ รัฐบาลไทยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน”ศ.สุรชาติ กล่าว
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯกล่าวว่า อยากเห็นไทยแสดงบทบาทพระเอกเรื่องพม่าบ้าง เราเป็นตัวโกงไปกับผู้นำพม่าไปแล้วหรือ เราต้องระวังอย่าให้มีโจทย์พ่วงว่าที่ทำไม่ได้นั้นเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือไม่ดีเหมือนประชาชนกำลังถูกกรรโชกทรัพย์เพื่อซื้อ เครื่องบิน F35 ใช่หรือไม่ วันนี้ต้องถามว่ากระทรวงการต่างประเทศทำอะไรอยู่เพราะตั้งแต่เกิดเหตุยังไม่เห็นบทบาทใดๆเลย ทั้งๆที่ความจริงแล้วเป็นบทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนพิเศษด้านพม่าที่มีการแต่งตั้ง
“ประเทศไทยต้องตั้งหลักดีๆ หากเป็นแบบนี้เราจะกลายเป็นตัวตลกในเวทีระหว่างประเทศ อย่าคิดว่าเขาจะอ่านเราไม่ออก”ศ.สุรชาติ กล่าว
นายรัศมิ์ กล่าวว่าการสื่อสารกับประชาชนของผู้นำไทย ที่ว่าแล้วๆ กันไป เขาแค่มาตีวงเลี้ยวเฉยๆ คือท่านลืมไปว่าที่พูดมิได้มีเพียงคนไทยที่ฟังอยู่ แต่มีนักข่าว ทูตระหว่างประเทศที่ฟังอยู่ด้วย การที่เครื่องบินพม่าบินวนอยู่มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าตั้งใจวนมาเพื่อโจมตีข้างหลัง จึงชัดเจนว่าพม่าจงใจ หากบอกว่าไม่เป็นอะไร เหมือนว่าเราให้ท้ายหรือสมรู้ร่วมคิดกับเผด็จการทหารพม่าให้ไปเข่นฆ่าชนกลุ่มน้อย และยังมีทรัพย์สินของคนไทยได้รับความเสียหาย ซึ่งควรเรียกค่าชดใช้จากกองทัพพม่าและประท้วงอย่างเป็นทางการ
นายรัศมิ์กล่าวว่าขั้นตอนการประท้วงทางการทูต ต้องมีการขอโทษ ชดใช้ค่าเสียหายอย่างเป็นทางการ นี่เป็นความปกติทางการทูตที่พึงกระทำ เพื่อธำรงไว้เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศเพื่อที่ไทยจะไม่ถูกล่วงล้ำอีก และผู้เสียหายของเราได้รับการชดเชยเยียวยา
ด้านนายสายัณห์ วงศ์ใจ ชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายจากกรณีที่รถกระบะถูกเครื่องบินรบ MiG-29 ของกองทัพพม่ายิงใส่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน เปิดเผยว่า ในวันเดียวกันนี้ ตนได้เดินทางไปพบนายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตากซึ่งมาลงพื้นที่บ้านวาเลย์โดยผู้ว่าฯได้สอบถามถึงค่าเสียหายจากการที่รถยนต์ถูกยิง ซึ่งตนแจ้งไปว่าราว 2 แสนบาทเพราะข้างในรถเสียหายหมดและตอนนี้จอดอยู่ ซึ่งผู้ว่าฯบอกว่าทำไมถึงเยอะจริง
“ท่านไม่ได้ถามถึงเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างไร ดูแล้วแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเลย ผมรู้สึกอายมาที่ไปพบท่านระหว่างที่ท่านไปมอบซองให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ผมไม่ได้ไปขอใครกิน เพียงแต่อยากหาคนที่รับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเมื่อเครื่องบิน MiG-29 เป็นคนทำ ทหารพม่าก็ต้องรับผิดชอบ ผมอยากให้ทหารไทยช่วยประสานไปยังทหารพม่าด้วยเพื่อเยียวยาค่าเสียหาย”นายสายัณห์กล่าว
นายสายัณห์กล่าวว่า เชื่อว่าทหารพม่าตั้งใจที่จะยิ่งใส่รถตน เพราะบินวนมาถึง 3 รอบ แม้ว่ารถจอดอยู่ห่างจากชายแดนกว่า 1 กิโลเมตร เพียงแต่การยิงครั้งนี้พลาดเป้าไปราว 3 เมตร และสะเด็ดได้กระเด็นมาสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ แต่พื้นดินบริเวณที่ลูกกระสุนลงก็เป็นหลุมใหญ่ ทั้งหมดมีหลักฐานซึ่งตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันที่มีบางฝ่ายมาบอกว่าตนสร้างสถานการณ์ขึ้นมา
“ผมจะสร้างสถานการณ์ไปทำไม ที่สำคัญผมจะไปเอาปืนเอาปืนร้ายแรงแบบนี้มาจากไหน ไม่เชื่อลองมาดูหลักฐานได้ ตอนนี้หลุมก็ยังอยู่ ผมรู้สึกเสียใจที่เหล่าข้าราชการที่ควรออกมาร่วมดูแลต่างก็ปัดเราทิ้ง ทุกคนพากันปฎิเสธที่จะเข้ามาดูแลเยียวยาเรา”นายสายัณห์ กล่าว
ขณะที่สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดตากรายงานว่า ในวันเดียวกั้นนี้นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก พร้อมด้วย นางวรรณฤดี กิจเจริญรุ่งโรจน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตาก และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดตาก นายสมพงษ์ ฟุ้งทวีวงศ์ นายอำเภอพบพระ ทหาร ตำรวจ และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ที่โกดังบ้านวาเล่ย์เหนือ หมู่ที่ 3 ,บ้านมอเกอร์ไทย หมู่ที่ 1 ตำบลวาเล่ย์ และที่วัดบ้านหมื่นฤาชัย ตำบลพบพระ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก พร้อมมอบเงินช่วยเหลือค่าอาหาร และสิ่งของอาหารแห้ง ให้แก่ผู้หนีภัยกว่า 600 คน ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวทั้ง 3 แห่ง
นายสมชัย กล่าวว่า ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนธิกำลังเข้าไปดูแลผู้หนีภัย ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วราวทั้ง 3 แห่งแล้ว และมอบหมายให้เปิดรับบริจาคสิ่งของ ไปช่วยเหลือผู้หนีภัยอีกทางหนึ่งด้วย โดยมีแม่ครัวไปทำอาหารให้ทุกมื้อ ส่วนกรณีเด็กที่ติดตามผู้หนีภัยเข้ามายังฝั่งไทย ได้ฝากให้นายอำเภอพบพระ ช่วยดูแลเด็กๆ เหล่านี้เป็นพิเศษ รวมทั้งให้ซื้อนมให้เด็กดื่ม เพื่อสุขภาพของเด็กด้วย
ด้าน นางอัมพิกา คีรีอัมพน อายุ 39 ปี ชาวบ้านบ้านหมื่นฤาชัย กล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ยังได้ยินเสียงเครื่องบินมา แต่ไม่มีเสียงปืนและระเบิด ตอนนี้ยังรู้สึกกลัว เพราะยังไม่ไว้วางใจสถานการณ์ ในส่วนบ้านของตนเองนั้น ได้เตรียมหลุมหลบภัยไว้ใต้ถุนบ้าน โดยสามารถรองรับคนในบ้านได้ทั้งหมด หากมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าเกิดขึ้น
——————–