Search

อาชญากรรมในย่างกุ้งพุ่ง เหตุตำรวจหวั่นถูกโจมตีเลยไม่กล้าออกตรวจ

ภาพจาก irrawaady

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน สำนักข่าว Irrawaddy รายงานว่า นับตั้งแต่กองทัพพม่าทำรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2564 ทำให้ปัญหาอาชญากรรมในกรุงย่างกุ้งซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่าได้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์โดยเฉพาะปัญหาการลักขโมย และการฆ่าชิงทรัพย์ โดยสาเหตุเหล่านี้ สื่อพม่าระบุว่าเป็นเพราะนับตั้งแต่ทหารยึดอำนาจทำให้เศรษฐกิจในประเทศถดถอยและปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกัน ประเทศอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองประชาชน

สื่อพม่าได้ยกตัวอย่างกรณีคู่สามีภรรยาวัย 70 กว่าปี ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองมิงกลาต่องยุ้น โดยพบถูกฆ่าเสียชีวิตด้วยมีดในที่พักของตัวเองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือเจ้าของร้านแห่งหนึ่งในเมืองพะบิดั่น ถูกคนร้าย 3 คน ใช้มีดแทงเพื่อชิงทรัพย์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งคนร้ายได้เงินไป 15 ล้านจั้ต หรือราว 260,000 กว่าบาท รวมทั้งโทรศัพท์และรถของเจ้าของร้านด้วย ทั้งนี้ก่อนรัฐประหารประชาชนในกรุงย่างกุ้งอยู่อย่างปลอดภัย แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนไป

“ก่อนปี 2021 เราไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยในทุกที่ที่เราไป เพราะมีหลักนิติธรรม แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีอาชญากรรมเกิดขึ้นมากมาย เรารู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แม้จะเดินอยู่ในตัวเมืองในช่วงกลางวันก็ตาม ฉันไม่กล้าใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างเดิน เพราะกลัวจะถูกขโมย” มะฉ่อซู่บอกให้สัมภาษณ์กับนักข่าว

ขณะที่มีรายงานว่า ประชาชนเริ่มไม่กล้านั่งรถประจำทางในย่างกุ้ง เนื่องจากหวาดกลัวเหตุอาชญากรรม โดยมีรายงานเหตุชิงทรัพย์ถึง 13 ครั้งในเวลาเพียง 5 วันเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 “โจรทำงานกันเป็นกลุ่มแก๊ง มีอาวุธด้วย จึงทำให้ไม่มีใครกล้าตอบโต้” โก่เยลิน ชาวบ้านอีกรายหนึ่งระบุ นอกจากนี้ปัญหาการลักเล็กขโมยยังขยายวงกว้างตามบ้านเรือน โดยโจรมักมุ่งเป้าขโมยโดยเฉพาะอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ เครื่องปั๊มน้ำ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน หรือแม้กระทั่งสายไฟ เป็นต้น

 โก่เยลินกล่าวว่า เมื่อเดือนที่แล้วเพียงเดือนเดียว มีเครื่องปั๊มน้ำอย่างน้อย 10 เครื่องหายไปจากอะพาร์ตเมนต์ที่เขาอาศัยอยู่

ทางด้านประชาชนทั่วไปเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพม่าตอนนี้สนใจจับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ออกมาต่อต้านกองทัพมากกว่าสนใจจับโจรที่ก่อเหตุอาชญากรรม คำกล่าวนี้สอดคล้องกับข้อมูลของกลุ่มสิทธิเพื่อนักโทษการเมืองพม่า เนื่องจากเรือนจำในประเทศตอนนี้เต็มไปด้วยนักโทษการเมืองมากกว่าอาชญากร ในรายงานล่าสุดของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (AAPP) ระบุว่า มีพลเรือนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยจำนวน 16,016 คน ถูกจับกุมตั้งแต่การยึดอำนาจของทหาร โดยเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ยังคงมีนักเคลื่อนไหวและพลเรือนถูกควบคุมตัวอยู่จำนวน 12,806 คน

ขณะที่อดีตตำรวจรายหนึ่งที่เคยทำงานรับราชการมานานเป็นเวลา 23 ปี ก่อนที่จะเข้าร่วมการประท้วงอารยะขัดขืน (CDM) เมื่อเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้วเปิดเผยว่า สถานการณ์อาชญากรรมในย่างกุ้งขณะนี้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2531 โดยทางสำนักงานตำรวจของพม่าไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการก่ออาชญากรรม แต่ประชาชนทั่วไปรับรู้จากการรายงานของเหยื่อหรือผู้เห็นเหตุการณ์บนสื่อโซเชียล

“เมื่อเหยื่อมาแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะบันทึกไว้ แต่ไม่มีการขยายสืบสวนเพิ่ม ดังนั้นประชาชนจึงเลิกสนใจแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

อดีตนายตำรวจรายนี้กล่าวว่า อีกปัจจัยที่บั่นทอนประสิทธิภาพของตำรวจคือ บุคลากรจำนวนมากได้เข้าร่วม CDM ภายหลังการทำรัฐประหาร เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า 6,000 นายได้เข้าร่วม CDM ตามกลุ่มผู้แปรพักตร์

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งที่ยังปฏิบัติหน้าที่และประจำอยู่ในย่างกุ้งยอมรับว่า แทนที่จะปกป้องประชาชน ตอนนี้ตำรวจกำลังพยายามหลีกเลี่ยงการถูกสังหารโดยกลุ่มต่อต้าน ซึ่งมักปฏิบัติการโจมตีแล้วหนี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพม่ามักถูกเป็นเป้าหมายโจมตีจากฝ่ายต่อต้าน

 “เมื่อใดก็ตามที่เราก้าวเท้าออกนอกสถานี เรากังวลว่าจะถูกโจมตี เราจะสนใจเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร” เจ้าหน้าที่ตำรวจรายนี้ซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อกล่าว

สื่อพม่ารายงานด้วยว่า จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ประชาชนจะไม่เห็นตำรวจลาดตระเวนตามท้องถนนในย่างกุ้ง แม้ว่าอัตราการเกิดอาชญากรรมจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน สถานีตำรวจก็เสริมกำลังด้วยกระสอบทรายและบังเกอร์

 “พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะออกจากโรงพักด้วยซ้ำ เราจะพึ่งพาพวกเขาได้อย่างไร” มะฉ่อซู่กล่าว

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แปรพักตร์เตือนว่า เนื่องจากตำรวจไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ดังนั้นจะทำให้อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

On Key

Related Posts