
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายวสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบสิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินกรณีเกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล ว่าในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่นั้น เมื่อปี 2547 นายลาโบ๊ะ หาญทะเลและพวก ชาวอูรักลาโว้ยบนเกาะหลีเป๊ะได้ร้องเรียนมายัง กสม.กรณีที่ถูกนายทุนแจ้งความดำเนินคดีพร้อมทั้งฟ้องร้องในข้อหาร่วมกันเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น ทั้งๆ ที่ผู้ร้องไม่เคยขายที่ดินที่พวกตนอาศัยอยู่แต่อย่างใด จึงร้องเรียนขอความเป็นธรรม โดยครั้งนั้นตนได้ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะและไปนอนค้างเพื่อเข้าไปตรวจสอบโดยใช้เวลาอยู่พอสมควร

นายวสันต์กล่าวว่า จากการตรวจสอบการออกเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) พบว่ามีการออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายใน 19 แปลงโดยตัวละครสำคัญเป็นคนกลุ่มหนึ่ง ได้เอาที่ดินที่ชาวเลครอบครองอยู่ไปออกเป็น น.ส.3 โดยอาศัยความไม่รู้ของชาวเลที่มีนิสัยไม่ยึดติดอยู่กับที่ดิน
“ชาวบ้านไว้ใจเขา เพราะเป็นคนจากภายนอกที่มีความรู้และเป็นคนที่ติดต่ออยู่กับราชการด้วย เขาเอาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ของชาวบ้านไปเก็บเอาไว้ ซึ่งจากหลักฐานที่เราพบ มีการเอาหมึกไปหยดแทนลายพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วไปแจ้งโอนขายโดยที่ชาวบ้านไม่รู้เรื่องด้วยเลย ผมได้เดินทางไปที่อำเภอและเก็บหลักฐานเหล่านี้ไว้หมดแล้ว ตอนนี้อยู่ในสำนวนที่ กสม.” นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์กล่าวว่า พื้นที่บริเวณเกาะหลีเป๊ะ มีชาวเลครอบครองอยู่ก่อนแล้ว แต่กลับถูกนำไปออกเป็น น.ส.3 ในชื่อคนอื่น ซึ่งเรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่ยาก โดยรัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ซึ่งในรายงานของ กสม.ที่ตนและทีม กสม.ชุดแรกทำไว้มีรายละเอียดของแต่ละแปลงที่มีปัญหา โดยรัฐบาลควรเพิกถอน น.ส.3 ที่ออกโดยมิชอบเหล่านี้ทั้งหมดและคืนความเป็นธรรมให้กับชาวเล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายงานผลการตรวจสอบของ กสม.ชุดที่ 1 ที่มี ศ.เสน่ห์ จามริก เป็นประธาน ระบุข้อเสนอไปยังรัฐบาลว่า 1.ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) เพิกถอน น.ส.3 ที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะที่ออกโดยมิชอบ และให้ มท.เร่งรัดให้ออก น.ส.3 แก่ประชาชนบนเกาะหลีเป๊ะโดยอาศัยเอกสารสิทธิ์ ส.ค.1 โดยเฉพาะในกรณีของนางรอเบียะ หาญทะเล และนายรออาด หาญทะเล นอกจากนี้ขอให้กรมประมงรื้อถอนสำนักงานประมงออกจากที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 31 หมู่ 7 ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล หรือจ่ายค่าที่ดินในราคาปัจจุบันให้แก่ทายาทนางด่าง หรือดัง หาญทะเล
ในรายงานผลการตรวจสอบของ กสม.ชุดที่ 1 ได้ระบุถึงกระบวนการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งใช้วิธีการต่างๆหลอกเอาที่ดินของชาวเล โดยร่วมกันดำเนินการโอนย้ายและอ้างว่าเป็นการซื้อขาย ซึ่งชาวเลเจ้าของที่ดินไม่รู้เรื่องด้วย ดังเช่นกรณีของนายหลิง หาญทะเล ซึ่งแจ้ง ส.ค.1 ในเนื้อที่ 1-0-60 ไร่ โดยระบุว่าครองครองเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2498 และนายมอบอำนาจให้นายสอ(นามสมมุติ)ซึ่งเป็นพี่ชายอดีตกำนันรายหนึ่งเพื่อจดทะเบียนและนิติกรรมที่ดินยื่นขอ น.ส.3 โดยมีอดีตกำนันรายนี้เป็นพยาน ซึ่งต่อมาที่ดินผืนนี้ได้ออกเป็น น.ส.3 ในเนื้อที่ 6-3-0 ไร่ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2565 ในนามนายหลิง หาญทะเล และในวันเดียวกันได้จดทะเบียนขายให้นายสอ แต่นางสูกิ่ม หาญทะเล ภรรยานายหลิม ยืนยันว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของนายบุญชอบ หาญทะเล บุตรชายของตน

ในรายงานของ กสม.ระบุว่า กรณีที่ดินของนายหลิมนี้ กสม.เห็นว่า นายหลิมได้ครอบครองที่ดินผืนนี้โดยตลอดจนเปลี่ยนเป็นนายบุญชอบ และนางสูกิ่มก็ยืนยันมาโดยตลอดว่านายหลิงไม่เคยขายที่ดินผืนนี้ โดยมีข้อพิรุธคือชื่อบิดามารดาของนายหลิง ไม่ตรงกับความเป็นจริง ตลอดจนเลขที่บ้านของนายหลิงได้ครอบครองและยึดถือมาโดยตลอด ดังนั้นรัฐจะต้องเพิกถอน น.ส.3 ในนามนายสอ พร้อมทั้งรับรองสิทธิของทายาทนายหลิง
เช่นเดียวกับกรณีของนายลิสิ หาญทะเล แจ้งครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2498 เนื้อที่ 2-2-0 ไร่ ต่อมา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2510 ได้มอบหมายให้นายสอเป็นผู้ยื่นคำขอ น.ส.3 และจดทะเบียนนิติกรรมโดยมีอดีตกำนันลงลายมือชื่อในฐานะพยาน จนได้น.ส.3 เนื้อที่ 5-1-25 ไร่ เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2516 และในวันเดียวกันจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสอแต่นางหารี่มี่ หาญทะเล บุตรของนายลิสิ บอกว่าปัจจุบันมีชาวต่างชาติมาอาศัยอยู่ในที่ดินของตนซึ่งบิดาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันนี้มาโดยตลอด และยืนยันว่าบิดาไม่เคยขายที่ดินให้กับใคร โดยมีข้อพิรุธคือเลขที่บ้านของนายลิสิไม่ตรงกับความเป็นจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายงานการตรวจสอบของ กสม.ชิ้นนี้ ได้ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 จำนวน 19 แปลง ซึ่งระบุสาเหตุที่ชาวเลต้องสูญเสียที่ดินในลักษณะใกล้เคียงกัน ขณะที่ชาวเลทั้งหมดปฎิเสธว่าไม่เคยขายที่ดินหรือได้รับเงินใดๆจากผู้ที่นำเอกสารไปออกเป็น น.ส.3 เลย
ขณะที่พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง อดีตประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่อยู่อาศัย พื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริงๆ แล้วที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะมีเพียงพอสำหรับให้ชาวเลได้อยู่อาศัย แต่ต้องมีการนำที่ดินที่ออกเอกสารโดยมิชอบกลับคืนมา เพื่อแบ่งปันให้กับชาวบ้าน
“ผมเห็นด้วยถ้าจะมีการเพิกถอน น.ส.3 ที่ออกไม่ถูกต้องทั้งหมดก่อน แล้วค่อยมาจัดระเบียบกันเพื่อให้เกาะหลีเป๊ะเป็นต้นแบบของการท่องเที่ยวและการดูแลคนท้องถิ่น” พล.อ.สุรินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 28 ธันวาคม 2565 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญอธิบดีกรมต่างๆ และหัวหน้าหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อแก้ปัญหาที่ชาวอูรักลาโว้ย บนเกาะหลีเป๊ะร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่ถูกเอกชนทำการปิดเส้นทางลงทะเลและไปโรงเรียน โดยนายพีระพันธุ์ได้เชิญตัวแทนชาวเลเข้าร่วมด้วย
————–