เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ พร้อมด้วยคณะ อาทิ รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รองอธิบดีกรมที่ดิน ตัวแทนกรมธนารักษ์ ได้ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล เพื่อตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีที่ชาวอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะร้องเรียนว่าได้รับความเดือดร้อนจากการที่มีเอกชนบางส่วนเข้าครอบครองที่ดินเกินเอกสารสิทธิ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงพื้นที่ว่า จากการลงพื้นที่และรังวัดที่ดินรวมถึงการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โดยก่อนหน้านี้ดีเอสไอและกรมอุทยานฯ ได้สำรวจพื้นที่ไว้แล้วโดยได้นำภาพถ่ายมาดู ซึ่งต้องพิจารณาร่วมกับกรมที่ดิน จากการรังวัดพบเบื้องต้น 2 จุดที่มีการรุกล้ำ คือ บริเวณหัวเกาะ และสระว่ายน้ำของโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นส่วนที่ดินงอกแต่เราพบว่าไม่ใช่ แต่เป็นการรุกล้ำที่ดินของอุทยานฯ เราจะดำเนินคดีกับเจ้าของพื้นที่ในคดีอาญา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่าหลังจากนี้จะไปสำรวจอีก 8 จุดซึ่งครอบคลุมพื้นที่ที่มีข้อพิพาทจำนวน 80 ไร่ หากพบว่ามีความผิดเพิ่มเติมเพราะมีการรุกล้ำก็จะดำเนินคดีต่อ แต่ที่พบตอนนี้มี 2 จุด ส่วนใครเป็นเจ้าของกำลังดูอยู่
“ในส่วนของโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ ขณะนี้กำลังให้เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์นำเครื่องมือพิเศษมาสำรวจทั้ง 4 จุด เมื่อเสร็จสิ้นวันนี้จะบอกได้เลยว่า ใครบุกรุกใคร ความจริงก็ปรากฏ เรื่องที่ดิน ท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งกำชับให้แก้ไขปัญหาทั้งระบบ รวมถึงที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว ในสัปดาห์ต่อไปก็จะเอากรมบังคับคดี กรมอุทยานฯ มาหารือร่วมกัน ชี้จุดเพื่อบังคับคดีให้เขาออกจากพื้นที่ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้วประมาณ 1 แห่ง ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ กว่า 40 คดี เดี๋ยวกลับไปแล้วจะเอามาไล่เรียงดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ใครผิด ใครถูกอย่างไร” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
รองผบ.ตร.กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ที่ร่วมกันหลายหน่วยงาน ได้ความจริงมากพอสมควร ดังนั้นขอให้ชาวเลและภาคธุรกิจไม่ต้องกังวลใจเพราะจะได้รับความเป็นธรรมและความจริง โดยตนจะลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะอีกในสัปดาห์หน้า และจากนี้ไปจะลงเกาะหลีเป๊ะบ่อย แต่ทุกครั้งต้องมีความก้าวหน้า
เมื่อถามว่าที่ระบุว่าจะตรวจสอบที่ดิน 8 จุดเพราะเหตุพบข้อสงสัยหรืออย่างไร รองผบ.ตร.กล่าวว่าใช่ พบข้อสงสัยและเดี๋ยวจะดำเนินการต่อเลย หากกรมที่ดินและกรมอุทยานฯ ชี้ตรงกัน ก็ทำให้ความจริงเป็นหนึ่งเดียว โดยการใช้เครื่องมือวัด วันนี้เราไม่ฟังซ้ายหรือขวาแต่ใช้หลักวิทยาศาสตร์
“เมื่อสักครู่ได้คุยกับรองอธิบดีกรมที่ดินว่า ตอนนี้ข้อมูลที่ดีเอสไอทำมามีความชัดเจนแล้ว เหลือแต่ข้อมูลจากกรมอุทยานฯ และกรมที่ดิน เมื่อได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ก็จะส่งให้กรมที่ดินมาดูร่วมกัน หากชัดเจนก็จะดำเนินการตามมาตรา 61/1 (เพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน) เมื่อได้ข้อสรุปและเป็นมติชัดเจนก็จะส่งให้กรมที่ดินไปดำเนินการ”
เมื่อถามว่ากังวลใจหรือไม่เพราะอำนาจการเพิกถอนเอกสารอยู่ที่อธิบดีกรมที่ดินคนเดียว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าไม่กังวลใจ โดยวันนี้ได้บอกผู้แทนทุกกรมแล้วว่าหากใครไม่ทำตามหลักกฎหมายก็ต้องโดน 157 คือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนั้นเชื่อว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยง
“ตอนนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าใครบุกรุกใคร พอหลักได้แล้ว กลัดกระดุมเม็ดแรกถูกแล้วมันไปต่อง่าย วันนี้เราเห็นความก้าวหน้า จากเดิมที่ไม่ดำเนินคดีอาญา แต่ครึ่งวันที่เราลงมาก็จะเห็นการดำเนินคดีอาญาแล้ว เห็นการแจ้งข้อกล่าวว่าคนบุกรุกที่ดินของรัฐ เมื่อก่อนไม่มีการดำเนินคดีอาญาเลยแม้แต่กรณีเดียว เมื่อเรารู้ว่าใครเป็นเจ้าของก็ต้องไล่กันต่อว่าที่ชาวบ้านอยู่เป็นอย่างไร ถูกต้องหรือไม่” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ลำรางสาธารณะบนเกาะหลีเป๊ะถูกบุกรุกจะดำเนินการอย่างไร รองผบ.ตร.กล่าวว่าได้คุยกับปลัดอำเภอซึ่งตรวจสอบในส่วนนี้แล้ว ตนบอกให้ตรวจเสร็จภายในสัปดาห์นี้และขอให้รายงานมาให้ตนภายในสัปดาห์หน้า ถ้ามีการบุกรุกลำรางสาธารณะก็ต้องมีการดำเนินคดีกันอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าไว้ใจผู้ปกครองท้องถิ่นได้หรือไม่เพราะนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ก็เป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่มีปัญหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ขอให้สบายใจได้เพราะเชื่อว่าไม่มีใครตรวจสอบแบบบิดเบี้ยวได้ เพราะใครทำเช่นนั้นตนจะดำเนินคดีอาญาหมด การเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หากตรวจสอบไม่ตรงไปตรงมา เมื่อตนลงพื้นที่มาก็รู้หมด โดยนอกสำนวนสอบสวนเรารู้แล้วว่าที่ดินแปลงไหนบุกรุกหรือไม่ แต่ตอนดำเนินคดีอาญาต้องประกอบด้วยหลักฐานซึ่งมอบให้ปลัดอำเภอทำมา หากเขาทำไม่ถูกต้องเขาก็เป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ตนก็ต้องดำเนินคดีกับปลัดอำเภอ
“สิ่งสำคัญอยู่ที่กรมที่ดิน เราจะรวบรวมเป็นรายงานให้กรมที่ดินเพิกถอน มันก็จะคืนสภาพ เดี๋ยวผมต้องหารือกับกรมที่ดินอีกครั้ง ไม่ยาก เพราะทุกอย่างมีหลักเกณฑ์กฎหมายอยู่แล้ว เราต้องทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เราไล่เลียงกันไป เช่น เรื่องเสียภาษี โรงแรมอยู่บนเกาะเสียภาษีหรือไม่ ภาษีที่ดินต่างๆ มีการชำระครบหรือไม่ ภาษีเหล่านี้ก็จะกลับมาที่ท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความมั่นคงต่อชุมชน เกาะนี้มีพื้นที่เพียง 1.2 พันไร่ ไม่ได้มาก ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐลงมาทุกหน่วยเดี๋ยวก็เรียบร้อย วันนี้เราบังคับใช้กฎหมายตามกติกา ผมเดินสำรวจในวันนี้เห็นหลายส่วน เช่น บุกรุกหน้าหาด เห็นเรืออวดลากคู่เข้ามาถึงในเขตอุทยานฯ ต่อไปทรัพยากรก็จะหมดไปลูกหลานชาวหลีเป๊ะก็จะไม่มี” รองผบ.ตร. กล่าว
ด้านนายณัฐพันธุ์ อังโชติพันธุ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะสาหร่าย ซึ่งเป็นลูกชายของนายบรรจงและนางดารา อังโชติพันธุ์ เจ้าของที่ดินแปลงที่ 11 ที่มีปัญหาข้อพิพาทกับชาวเล ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องเส้นทางและลำรางสาธารณะ ซึ่งได้ร่วมเดินสำรวจพื้นที่กับคณะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า บรรพบุรุษของตนยกที่ดินให้โรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) แต่ชาวบ้านขายที่ดินหมดแล้วมาอยู่ในที่ดินของตนและกล่าวหาว่าตนบุกรุกจึงไม่ถูกต้อง ดีใจที่รัฐบาลลงมาตรวจสอบและขอให้ดูกันตามหลักฐาน ไม่ใช่มาอ้างกันลอยๆ
“อยากให้ไปดูเอกสารที่พ่อแม่ปู่ย่าเขาขายไปหมดแล้ว ที่ดินแปลงที่ 11 มีอยู่ 81 ไร่ ทายาทแบ่งกันเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่แยกเอกสาร” นายณัฐพันธุ์ กล่าว
น.ส.กุสุมา สังข์เสน หัวหน้าธนารักษ์พื้นที่สตูล นำเอกสารโฉนดที่ดินของกรมธนารักษ์มาร่วมพิจารณากับรักษาการผู้อำนวยการโรงเรียน และได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รังวัดของกรมอุทยานฯ สนับสนุนอุปกรณ์พิกัดจุด GPRS คำนวนโดยใช้เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน ของโรงเรียนเป็นฐานเพราะหลักหมุดเดิมได้สูญหายไปแล้ว
นางสาวกุสุมา กล่าวว่า หลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่นำค่าพิกัดที่ได้ไปประมวลผลเพื่อขึ้นรูปคร่าวๆ จากนั้น จะนำไปครอบรูปกับหลักฐานเดิมของธนารักษ์ เพราะเราได้จับค่าพิกัดฉากเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าในขณะนี้จะไม่มีหลักเขตในพื้นที่จริงเหลืออยู่แล้วแต่เรามีค่าพิกัด มีระยะตามแผนที่เดิม เราคำนวณเนื้อที่เพื่อไปประกอบกับเครื่องมือระบุพิกัดดาวเทียม ยืนยันว่าเนื้อที่ของโรงเรียนจะไม่หายไปจากเดิมคือ 6 ไร่ 3 งาน ส่วนมีการรุกล้ำพื้นที่หรือไม่ต้องรอการประมวลผลเทียบกับภาพถ่ายทางอากาศอื่นๆ ก่อนด้วย
“ธนารักษ์พื้นที่สตูล ได้ทำตามหลักวิชาของช่างสำรวจจากแผนที่เดิมประกอบการคำนวณเพื่อให้ได้ค่าพิกัดฉาก UTM มา มาประกอบการใช้เครื่องมือ GPS เพื่อหาค่าพิกัด ต้องไปขึ้นรูปเพื่อดูก่อนว่าใครรุกล้ำใคร” หัวหน้าธนารักษ์พื้นที่สตูล กล่าว
นางสาวกุสุมา กล่าวว่าพร้อมจะเป็นผู้ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกพื้นที่ราชพัสดุ ในฐานะหน่วยงานเจ้าของที่ดิน หลังจากพิสูจน์ทราบในแผนที่ที่จะมีการจัดทำขึ้นใหม่ด้วย
นางสาวแสงโสม หาญทะเล รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะ กล่าวว่า วันนี้ได้ใช้หลักฐานที่กรมธนารักษ์มี ประกอบข้อมูลการใช้ประโยชน์ของโรงเรียน ประกอบการให้ความเห็นของศิษย์เก่าของโรงเรียน ซึ่งเป็นชาวเลในชุมชนที่เคยได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่มาก่อน ในฐานะพยานในการนำชี้ว่าเนื้อที่ของโรงเรียนมีถึงตรงไหน รวมถึงเอกชนในเขตข้างเคียงได้เข้าร่วมกระบวนการด้วย สำหรับการตัดสินใจอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะทำงานที่มี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธาน
นางสาวแสงโสม กล่าวว่า ความจริงแล้วพื้นที่การครอบครองจริงของโรงเรียนยังคาดเคลื่อนจากในเอกสารของกรมธนารักษ์อยู่ด้วย ซึ่งผู้บริจาคเดิมคือโต๊ะมะยม ที่อดีตกำนันบรรจง อังโชติพันธุ์มาติดต่อโต๊ะมะยมขอให้บริจาคที่สร้างโรงเรียน ทราบว่าลูกหลานโต๊ะมะยมว่าเนื้อที่ที่บริจาคตอนนั้นใหญ่มาก แต่การทำหลักฐานสมัยนั้นมีการทำเพียง 6 ไร่ 3 งาน จริงๆแล้วเนื้อที่โรงเรียนใหญ่กว่านี้ การรังวัดในวันนี้ใกล้เคียงพื้นที่ 6 ไร่ ตามเอกสารที่มี