
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายยาลา ใบกาเด็ม นายอำเภอเมืองสตูล จ.สตูล ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ประกอบการโรงแรมบนเกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล ที่ไม่มีใบอนุญาตจำนวนกว่า 100 แห่ง ที่สถานีตำรวจภูธรเกาะหลีเป๊ะ ตามที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะจังหวัดสตูล พร้อมคณะได้ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ และมอบให้ดำเนินการในเรื่องนี้
นายยาลากล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการบนเกาะหลีเป๊ะได้ทำหนังสือร้องเรียนมาเพราะเดือดร้อนภายหลังจากถูกแจ้งความดำเนินคดีและต้องมาให้การสอบสวน โดยหนังสือร้องเรียนบอกว่าภาครัฐไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนให้พวกเขาได้เพราะ เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกรมโยธาธิการในการสร้างอาคาร และยังได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรีด้วย

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์สั่งการให้ประสานกับเอกชนเพื่อรื้อประตูกั้นทางเข้าโรงเรียนให้เด็กนักเรียนได้เดินทางโดยสะดวก ได้ดำเนินการอย่างไร นายอำเภอเมืองสตูลกล่าวว่า ได้แจ้งเอกชนไปแล้ว แต่ถ้าเขาไม่รื้อก็ต้องให้กรมธนารักษ์แจ้งความดำเนินคดีอาญา ซึ่งตอนนี้เอกชนเห็นว่าตัวเองมีสิทธิเพราะมีเอกสารสิทธิในที่ดินอย่างถูกต้อง
ในวันเดียวกันนี้เจ้าหน้าที่รังวัดของกรมที่ดิน เจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์ ได้ร่วมกันรังวัดที่ดินบริเวณแปลงที่ 11 เพื่อจัดทำแผนที่พิพาทตามคำสั่งศาล ภายหลังจากก่อนหน้าที่เอกชนได้ฟ้องขับไล่ชาวอูรักลาโว้ย 6 ราย ที่มีบ้านที่อยู่ข้างโรงเรียนเกาะหลีเป๊ะ
นางพิชญา แก้วขาว ผู้ประสานงานมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่าชาวบ้านที่ถูกฟ้องข้อหาบุกรุกทั้งหมดเป็นลูกหลานของโต๊ะมะยมซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของโต๊ะฆีรีที่เป็นชาวเลกลุ่มแรกๆที่เข้ามาบุกเบิกและปักหลักอยู่บนเกาะหลีเป๊ะ โดยผู้ฟ้องอ้างว่าได้รับที่ดินมาจากนางดารา อังโชติพันธุ์ ลูกสาวโต๊ะฆีรีจำนวนกว่า 1 ไร่ 2 งาน ขณะที่ชาวเลต่างยืนยันว่าอยู่ในที่ดินแปลงนี้มานาน ซึ่งขณะนี้คดีกำลังพิจารณาอยู่ในชั้นศาล
นางพิชญากล่าวว่า ขณะนี้ชาวเลกำลังเดือดร้อนเพราะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปขึ้นศาล ดังนั้นจึงอยากขอร้องให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทที่ดินนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะที่มี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เป็นประธาน ได้เร่งดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิแปลงที่ 11 ตามที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพราะมีผลต่อการพิจารณาในชั้นศาลและคลายความเดือดร้อนให้ชาวบ้านทั้ง 6 รายที่ถูกฟ้อง และยังมีผลต่อคดีที่ชาวเลอีก 12 คนถูกฟ้องร้องกรณีที่ปิดเส้นทางห้ามเอกชนมาก่อสร้างประตูปิดการสัญจรตั้งแต่เกิดเรื่องด้วยเพราะทุกวันนี้เอกชนรายดังกล่าวยังอ้างสิทธิเพราะเชื่อว่าเอกสารสิทธิที่ครอบครองถูกต้อง
“ตอนนี้เขาเอารถแบคโฮมาขุดถนนและเตรียมสร้างแนวรั้ว เพราะเขาเชื่อว่ามีสิทธิในถนนเส้นนี้ วันก่อนที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์สั่งการให้มีการรื้อในส่วนที่รุกเข้าไปในที่ดินของโรงเรียน เขาก็ยังไม่ได้รื้อ ชาวเลเป็นกังวลว่าถนนเส้นนี้จะถูกปิดอีก เมื่อวานชาวบ้านจึงเดินทางไปยังสถานีตำรวจเพื่อให้ลงบันทึกประจำวัน ทางตำรวจบอกว่าทำอะไรมากไม่ได้เช่นกัน เพราะเขาบอกว่ามีเอกสารสิทธิถูกต้อง แต่ตำรวจแจ้งว่าจะรายงานให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์รับทราบ”นางพิชญา กล่าว
ด้านนายบุญธรรม หอไพบูลย์สกุล รองอธิบดีกรมที่ดินได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเป็นเอกสารถึงกรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลฯที่มีพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นประธานได้สั่งการให้มีการตรวจสอบ น.ส.3 บนเกาะหลีเป๊ะทั้งหมด ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินร่วมเป็นคณะกรรมการฯ โดยประธานได้มีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อตรวจสอบเอกสารสิทธิบนเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน และมีรองอธิบดีกรมที่ดินซึ่งอธิบดีมอบหมาย เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และในขณะเดียวกันกรมที่ดินได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ น.ส. 3 ทุกแปลงบนเกาะหลีเป๊ะ ทั้งนี้ หากผลการตรวจสอบปรากฏว่า มีการออก น.ส. 3 ไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรมที่ดินจะได้ดำเนินการเพิกถอนหรือแก้ไขตามนัยระเบียบและกฎหมายต่อไป
เมื่อถามว่ากรณีที่ดิน น.ส.3 แปลงที่ 11 ซึ่งคณะกรรมการฯระบุว่าจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพิกถอนตาม ม.61 ประมวลกฎหมายที่ดิน ได้มีการดำเนินหรือไม่ อย่างไร และกระบวนการเป็นอย่างไร รองอธิบดีกรมที่ดินกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณามีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน โดยเฉพาะในส่วนที่ออกทับที่ดินของโรงเรียนและสถานีอนามัยซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ หากได้มีคำสั่งตั้งแล้ว คณะกรรมการสอบสวนฯ ก็ไปดำเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ในขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็ดำเนินการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) ไปในคราวเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรมอุทยานแห่งชาติฯ ระบุผลการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ โดยแจ้งว่าได้ทำหนังสือถึงกรมที่ดินเพื่อให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 61 จำนวน 17 แปลง และจำหน่าย ส.ค.1 ที่ไม่ชอบ 23 แปลง แต่กรมที่ดินแจ้งว่าไม่อาจดำเนินการได้
เพราะอะไร และข้อขัดแย้งเช่นนี้ควรหาทางออกอย่างไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริง นายบุญธรรมกล่าวว่าเนื่องจากผลการตรวจสอบของจังหวัดสตูล เมื่อปี พ.ศ.2535 ซึ่งได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอายุผลอาสิน ปรากฏว่า ต้นมะพร้าวในแปลงที่ดิน จำนวน 30 แปลง มีอายุมากกว่า 56 ปี จึงเชื่อได้ว่าราษฎรครอบครองทำประโยชน์มาก่อนปี พ.ศ. 2482 ผู้ว่าราชการจังหวัด (ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเพิกถอน น.ส. 3
ในขณะนั้น) จึงใช้ดุลพินิจไม่เพิกถอน น.ส. 3 และจำหน่าย ส.ค. 1 รวมทั้งเมื่อปี พ.ศ. 2555 คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ตรวจสอบการถือครองที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ แล้วเชื่อได้ว่าราษฎรครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2459 ต่อเนื่องมาไม่ขาดสายที่ดินจึงไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่าที่รัฐอาจกำหนดให้เป็นที่หวงห้ามเพื่อใช้ในราชการ และให้กรมอุทยานฯ ระงับการดำเนินคดีกับราษฎร และให้กรมที่ดินดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่ราษฎร อย่างไรก็ดีคงต้องรอผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการตามข้อ 1
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนการออก น.ส.3 บนเกาะหลีเป๊ะ เจ้าหน้าที่กรมที่ดินได้มีการลงพื้นที่สำรวจหรือไม่ รองอธิบดีกรมที่ดินกล่าวว่า การออก น.ส. 3 บนเกาะหลีเป๊ะ จาก ส.ค. 1 จำนวน 18 แปลง ในช่วงปี พ.ศ. 2511 – 2517 เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอเมืองสตูล ซึ่งดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นแล้ว โดยการรังวัดออก นส 3 ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งผู้ขอ ข้างเคียง และผู้ปกครองท้องที่จะต้องร่วมพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ด้วย เจ้าหน้าที่ของกรมที่ดินไม่ได้ดำเนินการโดยลำพังแต่อย่างใด
เมื่อถามอีกว่ากรณีตรวจพบว่ามีการออกเอกสารสิทธิทับเส้นทางและลำรางสาธารณะบนเกาะหลีเป๊ะ กรมที่ดินจะดำเนินการอย่างไร นายบุญธรรมกกล่าวว่า หากเป็นการออก น.ส. 3 ทับทางน้ำหรือทางสาธารณประโยชน์โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายจริง โดยนายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาที่สาธารณประโยชน์ ตรวจสอบและยืนยันแล้ว จะต้องดำเนินการแก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในส่วนที่ออกทับ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่หากเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งเป็นการอุทิศ ผู้ถือสิทธิในที่ดินจะต้องขอรังวัดแบ่งหักเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามนัยระเบียบและกฎหมายต่อไป