Search

กระแส “พิธา”ฟีเวอร์ ในหมู่คนพม่า

เรื่องโดย หมอกเตหว่า

“ทุกเช้าและเย็น จะต้องตื่นมาดูคลิปวิดีโฮของพิธาสักครั้ง การปราศัยและดีเบตของเขา การตอบคำถามที่ฉลาดไม่ว่าคำถามนั้นจะยากแค่ไหน ทำให้พิธาดูหล่อขึ้นเป็นสิบเท่า ยิ่งท่าทีสนับสนุนประชาชนในพม่า ฉันยิ่งกลายเป็นแฟนตัวยงของเขาเข้าไปทุกที” หญิงสาวที่หนีภัยจากรัฐคะเรนนีพูดด้วยความเขินอาย 

กระแสของพิธาในหมู่ชาวพม่ายิ่งได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 หลังการเลือกตั้ง 1 วัน เกี่ยวกับนโยบายหรือท่าทีต่อประเทศพม่า หลังถูกสัมภาษณ์จากนักข่าวต่างประเทศรายหนึ่ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวในครั้งนั้นว่า ไทยจะต้องกลับมาดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ” (Five-Point Consensus) ของอาเซียน โดยหากไม่มีประเทศไทยแล้ว ฉันทามติ 5 ข้อนี้ยากที่จะทำสำเร็จได้ 

นอกจากนี้ พิธายังกล่าวว่า ท่าทีของไทยภายใต้รัฐบาลของเขาจะต้องหันกลับมาสร้างพื้นที่มนุษยธรรม (humanitarian corridor) เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤติการเมืองในพม่า รวมถึงไทยอาจใช้ Burma Act ซึ่งเป็นกฎหมายหรือนโยบายของสหรัฐที่มีต่อพม่า ซึ่งผ่านสภาของคองเกรสเมื่อปีที่ผ่านมา

คลิปวิดีโอคำให้สัมภาษณ์ของพิธาดังถูกแปลเป็นภาษาพม่าและแชร์ต่อกันเป็นวงกว้างในหมู่ชาวพม่า และมีชาวพม่าส่วนใหญ่ต่างออกมาแสดงความยินดีกับท่าทีนี้ 

“ผมกำลังอิจฉาคนไทยที่มีพิธา ผมติดตามเขามาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว และเริ่มหาข้อมูลประวัติเขาและพรรคของเขา หลายนโยบายของพรรคก้าวไกลโดนใจผม นี่ผมหวังจะอ่านภาษาไทยได้ จะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยแปลภาษา เพราะผมแทบจะติดตามทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาและพรรคของเขา ที่ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา เพราะผมติดตามเพจของทางพรรคก้าวไกล” เมียว กล่าว  

เมียว ชายหนุ่มวัย 27 ปี เป็นชาวดานุซึ่งเป็นชาติพันธุ์หนึ่งในรัฐฉาน เขาทำงานเกี่ยวกับภาคสังคมในพม่า แต่เมื่อเกิดรัฐประหารจึงได้เข้ามาหางานทำในประเทศไทย

“ผมว่า ตอนนี้นายพลพม่าคงร้อนๆหนาวๆ คงนอนไม่หลับอยู่บ้าง หากพิธาได้ก้าวขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีไทยจริงๆ” เมียว พูดด้วยรอยยิ้มขบขัน แต่ตายังจับจ้องไปที่คลิปๆ หนึ่งในโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือ เมื่อมองเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงรู้ว่า หนุ่มชาติพันธุ์จากพม่ารายนี้กำลังดูไลฟ์สดการแถลงข่าวการลงนาม MOU ระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา แม้จะฟังภาษาไทยไม่เข้าใจก็ตาม

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว Irrawaddy เคยวิเคราะห์ในรายการ “The Irrawaddy Editorial Talk” ว่าการเลือกตั้งในไทยนั้น ได้รับความสนใจจากชาวพม่าทั้งในและนอกประเทศเป็นอย่างมาก เหตุผลสำคัญคือรัฐบาลไทยในชุดปัจจุบันนั้นมีความใกล้ชิดกับกองทัพพม่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ แรงงานข้ามชาติหลายล้านคนจากพม่าได้เข้ามาทำงานอยู่ในไทย โดยพวกเขาเฝ้ารอว่า หลังการเลือกตั้งของไทย จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือไม่ และไทยจะมีนโยบายอย่างไรต่อวิกฤติการเมืองในพม่า 

บางช่วงบางตอนของรายการ บรรณาธิการของสื่อพม่ายังกล่าวว่า เนื่องจากทางการเมืองของทั้งสองประเทศนั้นมีความคล้ายคลึงอยู่ไม่น้อยในเรื่องการทำรัฐประหารของกองทัพ แม้จะต่างช่วงเวลา แต่เหมือนผู้กุมอำนาจของทั้งสองประเทศต่างลอกเลียนแบบเกมการเมืองของกันและกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่า หลังจากนี้การเมืองของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  

ออกัส เป็นชาว LGBT คนรุ่นใหม่จากพม่า และเขามีโอกาสได้ร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งในไทยที่ผ่านมาเผยว่า เขารู้สึกหัวใจพองโตทุกครั้งเมื่อพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียง เพราะเขาเชียร์พรรคคนรุ่นใหม่ เนื่องจากมีท่าทียืนข้างประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า เขารู้สึกตื่นเต้นกับการเลือกตั้งในไทยครั้งนี้ และรู้สึกดีใจกับคนไทย การเห็นบรรยากาศเลือกตั้งในไทยทำให้เขารู้สึกมีพลังและมีความหวังว่า สักวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้เลือกตั้งในประเทศบ้านเกิดของตัวเองบ้าง 

ขณะที่ โม๋นวล ชาวไทใหญ่วัย 30 ปี ที่หนีภัยสงครามมาอยู่ในประเทศไทยหลายสิบปี และขณะนี้ยังอยู่ในฐานะคนไร้สัญชาติ เธอมองว่า เป็นเรื่องที่ดี ที่พิธา ออกมาพูดถึงประเด็นพม่า นั่นแสดงให้เห็นว่าพิธานั้นได้ศึกษามาเป็นอย่างดี และนโยบายของพรรคก้าวไกลพยายามครอบคลุมกับคนทุกกลุ่ม และประเทศไทยนั้นมีคนหลากหลายเชื้อชาติ รวมถึงแรงงานจากเพื่อนบ้าน หญิงไร้สัญชาติรายนี้เชื่อว่า นายพิธาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีได้ เพราะมีศักยภาพ จึงอยากเห็นเขาได้รับโอกาสบริหารประเทศสักครั้ง โดยเฉพาะอยากเห็นการรื้อระบบราชการไทย     

ครั้งนี้ไม่ใช่การออกมาส่งเสียงของพิธาครั้งแรกต่อประเด็นพม่า เมื่อปีที่แล้วเขาเคยออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยไม่ส่งตัวนักข่าว Democratic Voice of Burma (DVB) ให้กับกองทัพพม่า-ตั้ดมะด่อว์ เพราะการส่งตัวนักข่าวสายประชาธิปไตยกลับไปยังรัฐทหารพม่านั้นมีความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต พิธายังเคยออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและประณามต่อกรณีที่ศาลพม่าประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในพม่า ท่าทีที่เป็นปรปักษ์กับเผด็จการ แม้จะได้ใจฝ่ายตรงข้าม แต่ดูเหมือนว่าพิธาและพรรคก้าวไกลกำลังจะเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ต่อกองทัพพม่า หากเขาได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย 

ล่าสุด สำนักข่าว Irrawaddy รายงานเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า นายพลโซวิน ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเป็นลำดับที่ 2 ของกองทัพพม่ารองลงมาจาก พลเอกมินอ่องหลาย ได้สั่งการให้แม่ทัพภาคต่างๆ เฝ้าสังเกตการณ์ตามชายแดนอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงกิจกรรมเคลื่อนไหวทุกอย่างของพรรคก้าวไกล ในจดหมายสั่งการของนายพลโซวินนั้นระบุว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนตะวันตก และจะสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งกองทัพพม่าใช้เรียกฝ่ายต่อต้าน (กองกำลังชาติพันธุ์ และฝ่ายประชาธิปไตย)   

ชัยชนะจากเลือกตั้งของพิธาและพรรคก้าวไกลครั้งนี้ ไม่ใช่มีเพียงคนไทยเท่านั้นที่ดีใจและรู้สึกมีความหวังในการปรับเปลี่ยนระบบเก่า แต่ประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจากพม่าต่างรู้สึกดีและมีความหวังเช่นเดียวกัน

พวกเขาหวังว่าสักวันหนึ่งสถานการณ์เช่นประเทศไทยในวันนี้จะเกิดขึ้นในพม่าบ้าง แม้ไม่รู้ว่าความหวังนี้จะยาวไกลสักเพียงใด แต่อย่างน้อยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองไทยในวันนี้ก็ได้จุดประกายความหวังให้กับคนจากประเทศเพื่อนบ้านหลายล้านคน

—————

On Key

Related Posts