
สำนักข่าว Cambojanews รายงานว่า นายกรัฐมนตรีฮุนเซน แห่งกัมพูชาเตือนองค์กรเอ็นจีโอกัมพูชาว่า หากไม่มีรายงานการเงินต่อรัฐบาลก็เสี่ยงที่จะถูกยุบ โดยเขาได้กล่าวในงานประชุมร่วมกับแรงงานที่จังหวัดกันดาล เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2566
“ผมอยากจะส่งสารไปยังองค์กรพัฒนาเอกชนให้ทราบว่า รัฐบาลย้ำจุดยืนว่าจะต้องมีการรายงานการเงินให้กับรัฐบาล หากไม่ทำตามก็จะต้องถูกตรวจสอบทุกองค์กร ได้มีการปรึกษาหารือกับนาย ซา เค็ง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับช่วงเวลาที่องค์กรพัฒนาเอกชนในกัมพูชานั้นล้มเหลวในการส่งรายงานทางการเงินและจะต้องถูกปิด และอย่ากล่าวหาว่า ผมกำลังกดดันพวกคุณก่อนการเลือกตั้ง แต่เป็นเพราะองค์กรพัฒนาเอกชนที่พวกคุณมีเจตนาร้ายทางการเมืองที่จะทำลายรัฐบาล” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กล่าว
ความเห็นของนายกรัฐมนตรีมีขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่กระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา สั่งให้ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง(Center for Peace and Conflict Studies) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในเสียมเรียบ ยกเลิกการรประชุมที่ได้วางแผนไว้ โดยให้เหตุผลว่า หัวข้อในการประชุมนั้นมุ่งเน้นที่การพัฒนาด้านมนุษยธรรมในปัจจุบันซึ่งอาจจะละเมิดกฎบัตรของอาเซียน
กฎหมายด้านการจัดตั้งสมาคมและองค์กรพัฒนาเอกชนหรือ (LANGO) ที่ได้รับความเห็นชอบเมื่อปี 2015 มีข้อบังคับให้องค์กรต่างประเทศและองค์กรพัฒนาเอกชนส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องการได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศพร้อมกับรายงานทางการเงิน โดยกลุ่มด้านสิทธิมนุษยชนวิเคราะห์ว่าเป็นกฎหมายที่ผ่านเพื่อจำกัดการดำเนินกิจกรรมของภาคประชาสังคมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชนของกัมพูชา โดยองค์กรพัฒนาเอกชนในกัมพูชา ได้มีการรณรงค์ให้มีการทบทวนกฎหมายดังกล่าว รวมถึงมีการอุทธรณ์ให้แก้ไขกฎหมาย 14 ข้อในปี 2020
ปรัก ซัม อึน ผู้อำนวยการทั่วไปของกระทรวงมหาดไทย ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่ อัม ซัม อาต ผู้อำนวยการฝ่ายทั่วไปขององค์กรพัฒนาเอกชน LICADO กล่าวว่า สิ่งที่ฮูนเซนพูดอาจจะมีผลต่อองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆที่กำลังผลักดันและเรียกร้องให้รัฐบาลให้แก้ไขกฎหมายดังกล่าวต่อเนื่องหลายปี แต่เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจสิ่งที่ฮุนเซนพูดวันนี้ เพราะการส่งรายงานทางการเงินเป็นหน้าที่ที่องค์กรเขาต้องส่งรายงานให้กับรัฐบาลอยู่แล้ว แต่องค์กรพัฒนาเอกชนในกัมพูชาก็ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดจากรัฐบาลอีกมากมาย
“ตอนนี้หน่วยงานของรัฐห้ามองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ ทำกิจกรรมการรวมตัวและการฝึกอบรม”