เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2566 เครือข่ายชาวปกาเกอะญอซึ่งประกอบด้วยพระสงฆ์และชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียง ได้เดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านเสาหิน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อนำข้าวของที่ร่วมกันระดมจากชาวบ้านในชุมชนต่างๆโดยเฉพาะข้าวสารที่เป็นข้าวดอยของชาวกะเหรี่ยงบนดอยเพื่อนำไปมอบให้ผู้หนีภัยจากการสู้รบชาวกะเหรี่ยงแดงหรือคะเรนนี ที่อพยพหนีการสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและฝ่ายต่อต้านที่มีกองกำลังของพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party-KNPP) และกองกำลังกะเหรี่ยงดาวแดง (KNPLF) เป็นแกนหลัก ทั้งนี้ข้าวของที่นำไปมอบให้นั้นบรรทุกใส่ระกระบะจำนวน 6 คันโดยได้ไปแจ้งให้ทางอำเภอแม่สะเรียงทราบก่อนเดินทางไปยังบ้านเสาหิน อย่างไรก็ตามก่อนนั้น 1 วันได้มีการนำข้าวของบริจาคไปมอบให้ผู้หนีภัยการสู้รบที่บ้านพะแข่ อ.ขุนยวม
แหล่งข่าวด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า การสู้รบของทั้งสองฝ่ายยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสาละวินซึ่งถูกปิดไปหลายวันแล้ว โดยทหารพม่าได้ยึดพื้นที่หัวสะพานด้านเหนือ ขณะที่ด้านใต้เป็นที่ดักซุ่มของกองกำลังกะเหรี่ยงดาวแดง ขณะที่กองทัพพม่ายังคงส่งอากาศยานมาทิ้งระเบิดบริเวณโดยรอบเมืองผาซองอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าซึ่งหลายกลุ่มจับมือกันพยายามโอบล้อมเมืองผาซองซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการเข้าสู้รัฐคะเรนนี้ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของฐานทหารพม่า ดังนั้นกองทัพพม่าจึงพยายามระดมการทิ้งระเบิดและส่งทหารกองหนุนเข้ามาเพิ่ม
แหล่งข่าวกล่าวว่า บริเวณทางตอนใต้ของเมืองผาซองและอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำได้มีชาวคะเรนนีจากพื้นที่ต่างๆที่ถูกทหารพม่าโจมตีเข้ามาอาศัยอยู่จนกลายศูนย์พักพิงชั่วคราวซึ่งกลุ่มกองกำลังต่างๆได้ให้การช่วยเหลือ ดังนั้นเมื่อกองทัพพม่าใช้อากาศยานโจมตี ทำให้ผู้หนีภัยเหล่านี้ต้องหนีเข้าป่าและบางส่วนข้ามมายังชายแดนไทยซึ่งมิใช่แค่เพียง 2 จุดที่รัฐบาลเข้าไปดูแล แต่ยังมีอีกหลายจุดที่ผู้หนีภัยเข้ามาหลบพักพิงและไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ
ด้านสำนักข่าวคะเรนนี กันตรวดีไทมส์ Kantarawady Times เผยแพร่ข่าวเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566 ว่ามีประชาชนมากกว่า 1 พันคนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตเนื่องจากการโจมตีของกองทัพพม่าโดยไม่สามารถหนีภัยข้ามมาฝั่งไทยได้ ขณะนี้ผู้พลัดถิ่นดังกล่าวอยู่ในเขต อ.แม่เจ๊ะ (Mese) ตรงข้ามบ้านเสาหิน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เนื่องจากถูกปฏิเสธไม่ให้เข้ามาลี้ภัยสงครามในฝั่งไทย และกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยหน่วยงานฝ่ายไทยได้กำหนดข้อจำกัดในการเข้าประเทศของผู้หนีภัยสงคราม ส่งผลให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางดังกล่าวต้องตกค้างอยู่ในบริเวณหมู่บ้านปันเต็น ใกล้ชายแดนไทย ซึ่งผู้พลัดถิ่นกลุ่มนี้ได้หนีการโจมตีจากกองทัพพม่าที่เข้ามาทิ้งระเบิดทำลายบ้านเรือนในรัฐคะเรนนี ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และต้องทิ้งบ้านเรือนมาหลบหนีในป่า อยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นนานนับปี
ผู้พลัดถิ่นรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองและชาวบ้านจำนวนมากกำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ และลำบากเพิ่มขึ้นอย่างมากในฤดูฝน ชาวบ้านไม่มีเพิงพักที่เหมาะสม ผ้าใบ เต็นท์
“พวกเราเป็นพันๆ ทั้งเด็ก ผู้ป่วย คนแก่ ต้องติดอยู่ที่ชายแดน ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ มาถึงเลย” ผู้พลัดถิ่นกล่าว
สื่อคะเรนนีระบุว่า ขณะนี้มีจำนวนผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนีที่ลี้ภัยในฝั่งไทย (ใน อ.แม่สะเรียง และ อ.ขุนยวม) เพิ่มขึ้นแต่ประชากรผู้พลัดถิ่นจากสงครามอีกนับพันยังคงติดอยู่ในรัฐคะเรนนี ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ การสนับสนุนด้านการรักษาพยาบาลไม่เพียงพอหรือแทบไม่มีเลย สถานการณ์นี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กองทัพพม่าส่งอากาศยานมาระดมทิ้งระเบิดและยิงสถานที่ต่างๆ ในนรัฐคะเรนนีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้พลัดถิ่นที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าต้องตกอยู่ในสภาวะที่มีความหวาดหวั่นอย่างต่อเนื่อง
ด้านสำนักข่าวตานลวินเท็ตนิวส์ (Than Lwin Thet News) รายงานโดยอ้างคำสัมภาษณ์ นายคู แดเนียล โฆษกของพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni Progressive Party-KNPP) ว่าทหารพม่าจากค่ายสุดท้ายที่เหลืออยู่บนชายแดนคะเรนนียอมมอบตัวด้วยอาวุธครบมือ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา หลังจากกองกำลังร่วมที่นำโดยกองทัพคะเรนนี (Karenni Army-KA) ได้เข้าโจมตีและยึดครองเนินยุทธศาสตร์ของกองทัพพม่าในเมืองแม่เจ๊ะ ส่งผลให้ล่าสุดนายทหารพม่ากลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ในเมืองแม่เจ๊ะยอมมอบตัวพร้อมอาวุธครบมือ

สำนักข่าวแห่งนี้ระบุว่า หลังการรบเพื่อยึดค่ายต่างๆ ของกองทัพพม่าตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ทางกองทัพพม่าได้มีการโจมตีด้วยเครื่องบินอย่างน้อย 4 ลำในทันที และการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดวันที่ 24 มิถุนายน ทหารที่มาเสริมกำลังในเขตแม่เจ๊ะ ถูกโจมตีจนต้องล่าถอย โดยอ้างอิงคำสัมภาษณ์ของนายตานลวินเค โฆษกของกองกำลังประชาชน (PDF) ในเขตเมืองบอลาเค และผาซอง ว่ากองกำลังร่วมได้ปฏิบัติการโจมตีทหารพม่าที่เข้ามาเสริมทัพ โดยเข้ามาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน จนเกิดการสู้รบอย่างดุเดือดกับกองทหารพม่าที่ตั้งประจำอยู่บนสะพานสาละวินเป็นเวลาหลายชั่วโมง (ดูคลิปประกอบ)
“เครื่องบินของกองทัพพม่าโปรยลูกระเบิดลงเนินเขาที่มีทหารพม่าอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ มีทหารพม่าบาดเจ็บจำนวนมาก เราเห็นคนเจ็บถูกลากไปใต้สะพาน” โฆษกกองกำลัง PDF กล่าว และระบุว่ามีทหารพม่าเสียชีวิตอย่างน้อย 10 นายจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินพม่าดังกล่าว ทั้งนี้กองกำลังร่วมของคะเรนนีที่ร่วมปฏิบัติการดังกล่าวประกอบด้วยหลายกลุ่ม อาทิกองกำลังประชาชน PDF กองกำลังทหารบ้านคะยากลาง (Central Kayah Military) และกองกำลังย่อยอีกหลายกลุ่มในรัฐคะเรนนี
วันเดียวกันศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ออกแถลงการณ์ 2 ฉบับ โดยฉบับแรกเรื่องการรับบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาซึ่งมีเนื้อหาสรุปว่า ศูนย์สั่งการฯได้ร่วมกับ UNHCR เครือข่ายองค์กรเอกชน เหล่ากาชาดแม่ฮ่องสอน หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในการดูแลความปลอดภัยและให้ที่พักพิงในสถานที่ปลอดภัยชั่วคราวและช่วยเหลือปัจจัย 4 โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติการรับบริจาคสิ่งของเพื่อให้ความช่วยเหลือซึ่งบริจาคโดยตรงได้ที่สำนักงานเหล่ากาชาด
แถลงการณ์ระบุว่า บุคคลหรือหน่วยงาน ภาคเอกชนและองค์กรต่างๆทั่วไปที่ประสงค์รวบรวมการบริจาคขอให้เว้นการบริจาคเงินสดหรือการโอนเข้าบัญชีธนาคารทุกกรณีเพื่อความโปร่งใส และไม่อนุญาตให้บุคคลหรือหน่วยงานภาคเองชน องค์กรต่างๆเดินทางเข้าไปบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้หนีภัยในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวทุกกรณีเนื่องจากเส้นทางคมนาคมมีความยากลำบากและเหตุผลด้านความปลอดภัยและความมั่นคง การบริจาคที่ไม่ใช่หน่วยงานรัฐขอให้ตรวจสอบข้อมูลต่างๆก่อนการบริจาคเพื่อป้องกันผู้มีเจตนาแอบแฝงในการหาประโยชน์
ส่วนแถลงการณ์อีกฉบับเป็นเรื่องของสถานการณ์ประจำ โดยมีเนื้อคืบหน้าว่าปัจจุบันมีผู้หนีภัยการสู้รบ 4,798 คน (เพิ่มขึ้น)ในพื้นที่ 4 แห่งคือบ้านเสาหิน 3,270 คน บ้านแม่พะแข่ 839 คน(เพิ่มขึ้น 9 คน) ส่วนอีก 2 แห่งเป็นพื้นที่ใหม่คือบ้านอุนู ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง 206 คน และบ้านจอปร่าคี ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง 483 คน