เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน นายซอดาทู ผู้ใหญ่บ้านป่ากล้วย รัฐคะเรนนี ประเทศพม่า ซึ่งอพยพหนีภัยการสู้รบระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังกะเหรี่ยงดาวแดง (Karenni National People’s Liberation Front -KNPLF) ซึ่งจับมือกับพันธมิตรคือพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party-KNPP) และกองกำลังดาวขาว (KNSO) รวมถึงกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) มายังพื้นที่พักพิงชั่วคราว ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง ให้สัมภาษณ์ว่า พวกตนซึ่งเป็นชาวบ้านต้องหลบหนีข้ามเขตแดนมาฝั่งประเทศไทยเพราะเครื่องบินรบของกองทัพพม่ามาทิ้งระเบิดรอบหมู่บ้าน ทำให้รู้สึกหวาดกลัวมากจึงหนีมาอยู่ในฝั่งไทย
“พวกเรามาอาศัยอยู่เพื่อความอยู่รอด ถ้าเมื่อไรเหตุการณ์คลี่คลายก็พร้อมจะกลับบ้าน ตอนนี้เราขอเข้ามาอาศัยชั่วคราว รู้สึกเป็นห่วงบ้าน เป็นห่วงสัตว์เลี้ยง แต่ก็ไม่กล้ากลับไปดู ต้นข้าวในไร่นาก็กำลังโตก็เข้าไปดูไม่ได้ ต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ควายก็เข้ามากินข้าวหญ้า เราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะทหารพม่ายังส่งเครื่องบินมาเสมอ” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว
นายซอดาทูกล่าวว่า พวกตนรู้สึกดีใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนไทย ทั้งในเรื่องที่พัก อาหารและข้าวของเครื่องใช้ เพราะตอนที่หลบหนีมานั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน อ.สบเมย สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน รวมทั้งองค์กรพันธมิตรต่างๆ ได้นำข้าวสารอาหารแห้งและสิ่งของที่จำเป็นจำนวน 2 คันรถเดินทางจาก อ.สบเมย และ อ.แม่สะเรียง ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่บ้านอูนุ อ.แม่สะเรียง ซึ่งอยู่ชายแดนรัฐคะเรนนี โดยเส้นทางขนส่งเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกลและเส้นทางเป็นป่าเขาสูงชัน และลำห้วย ต้องใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชั่วโมง
ทั้งนี้ชาวบ้านจาก 4 หมู่บ้านจากฝั่งรัฐคะเรนนี ราว 316 คน ได้อพยพหนีการสู้รบมาพักอาศัยอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้านอูนุตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน พร้อมๆกับชาวคะเรนนีกว่า 4 พันคนที่อพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านเสาหิน บ้านจอปร่าคี ในเขต อ.แม่สะเรียง และบ้านพะแข่ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน แต่เนื่องจากบ้านอูนุและจอปร่าคีเป็นพื้นที่ที่เส้นทางสัญจรเข้า-ออกลำบาก ทำให้ในช่วงแรกศูนย์สั่งการชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงได้แถลงข่าวเพียงแค่ผู้หนีภัยการสู้รบที่บ้านเสาหินและพะแข่
แม่เฒ่าชาวคะเรนนีอายุ 74 ปีรายหนึ่ง ซึ่งพักอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านอูนุ กล่าวว่า ตนหนีมาจากบ้านตอละ โดยต้องหนีภัยการสู้รบมาทั้งชีวิตกว่า 10 ครั้งแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ครั้งนี้หนีมาโดยไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาพร้อมกัน 12 ครอบครัว ในหมู่บ้านตอละแทบไม่เหลือคนอยู่แล้ว
“เราไม่อยากให้พม่าเข้ามาเลย เพราะเขามาทิ้งระเบิด ทำให้พวกเราต้องหลบหนีมาอยู่ที่นี่ เราไม่อยากทิ้งบ้านเรือน ทิ้งไร่ ทิ้งนา” แม่เฒ่า กล่าว
นายผ่องพันธ์ ก้องสนั่นเมือง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่าได้เข้ามาดูแลชาวบ้านจากฝั่งรัฐคะเรนนีตั้งแต่วันแรก เพราะคนทั้งสองฝั่งแดนบริเวณนี้ต่างเหมือนเป็นญาติพี่น้องกัน เมื่อพวกเขาได้รับความเดือดร้อนเพราะต้องหนีการสู้รบ หากเราไม่ให้เขาหลบภัยก็เหมือนกับคนไม่มีน้ำใจ เชื่อว่าหากสถานการณ์สงบพวกเขาก็กลับไปอยู่บ้านเดิมเพราะต่างก็เป็นห่วงบ้านและไร่นา


ด้านนายสันติพงษ์ มูลฟอง ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เท่าที่ทราบยังมีชาวบ้านที่กำลังหนีภัยการสู้รบตกค้างอยู่ฝั่งรัฐคะเรนนี งตรงข้ามบ้านเสาหินอีกราว 2 พัน ถ้าหากทางการไทยไม่อนุญาตให้คนเหล่านี้เข้ามาก็ควรการผ่อนผันให้มีการส่งเสบียงเข้าไปเพราะคนกลุ่มนี้กำลังลำบากมาก ดังนั้นจึงควรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนเพราะพวกเขาเป็นประชาชนทั่วไป และไม่ใช่เป็นคู่ขัดแย้ง
ขณะที่ศูนย์สั่งการชายแดนไทย จ.แม่ฮ่องสอน ได้ออกแถลงการณ์ประจำวันที่ 30 มิถุนายน ว่ายังคงปรากฏข่าวสารการปะทะกันระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย/กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา บริเวณด้านตรงข้ามอำเภอแม่สะเรียงและอำเภอขุนยวม โดยปัจจุบันมีผู้หนีภัยการสู้รบเข้ามาฝั่งไทย 4,876