เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 นายสุรัถ นักกิจกรรมทางการเมือง ชาวไทใหญ่ ประเทศเมียนมา และผู้ผลัดถิ่นในประเทศชาวพม่า ให้สัมภาษณ์ว่า อาศัยอยู่ประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี หลังจากมีการปฏิวัติเหตุการณ์ 8888 หรือ กำเริบระดับชาติเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศพม่า เมื่อ ค.ศ. 1988 เนื่องจากประเทศพม่าอยู่ภายใต้การปกครองของทหารมาอย่างยาวนาน คุณภาพชีวิตของผู้คนในพม่านั้นย่ำแย่ลง การอพยพมายังประเทศไทยจึงเป็นทางเลือกนึงและต้องการความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน ซึ่งในขณะนั้นยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นและไม่ได้สนใจการเมืองมากนัก
“ชีวิตและความเป็นอยู่ในไทยแม้ไม่ได้ลำบากเท่ากับการอาศัยอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด แต่มีชีวิตอยู่ในไทยได้ส่วนนึงก็เพราะต้องจ่ายส่วย ให้กับเจ้าหน้าที่ชุดเครื่องแบบที่มีสี
ก็มีอาจจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย เพราะประเทศไทยเองก็เป็นประชาธิปไตยแบบซ่อนรูปที่มีทหารทำการปฏิวัติไม่ต่างจากพม่า แต่อย่างน้อยประเทศไทยก็เสรีกว่า” นายสุรัถกล่าว
นายสุรัถกล่าวว่า หลังจากรัฐประหารในประเทศพม่า พ.ศ. 2564 นำโดยหัวหน้าคณะรัฐประหาร นายพลมิน อ่อง ลาย มีการประหัตประหารประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน ภายในระยะเวลา 1 ปี มียอดผู้เสียชีวิต 2,327 ที่ระบุได้ และมีผู้ถูกคุมตัว 15,691 คน ซึ่งปี 2566 เป็นปีที่ 2 และยังมีผู้เสียชีวิตและมีผู้ถูกคุมตัวเพื่อขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถทนเห็นประชาชนชาวพม่าบาดเจ็บล้มตายได้ จึงตัดสินใจเข้ามาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเต็มตัว ประชนชาวพม่า ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจึงรวมตัวกันออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้นานาชาติช่วยเหลือและผลักดันช่วยเหลือประชาชนชาวพม่าที่กำลังสู้รบต่อต้านเผด็จการทหารมิน อ่อง ลาย
นายสุรัถ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมาประชาชนชาวเมียนมาในไทยได้รวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ณ UN หรือ องค์การสหประชาชาติ สำนักงานประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร รวมตัวกันประท้วงอย่างสันติ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ได้ร่วมกันร้องเพลง เพื่อประณามความโหดร้ายของรัฐบาลเผด็จการให้ทั่วโลกได้เห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมาประชาชนชาวเมียนมาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหารที่เข้ามายึดอำนาจวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งชาวพม่าต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ในขณะนี้ยังมีผู้เสียชีวิต และผู้อพยพอย่างต่อเนื่อง แต่ทั่วโลกกลับนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
“ผ่านมากกว่า 2 ปีแล้วที่เราอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก แต่นานาชาตินั้นยังนิ่งเฉย หลายต่อหลายครั้งที่พวกเรามาเคลื่อนไหว หน้า UN เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่การที่เรายืนหยัดออกมาเคลื่อนไหวสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราจะต่อสู้เคียงข้างกับประชาชนในเมียนมา และเรียกร้องให้นานาชาติต่อสู้เคียงข้างกับเรา ซึ่งถ้าหากองค์การสหประชาชาติไม่สามารถผลักดันหรือช่วยเหลือผู้คนอย่างจริงจัง ในอนาคตองค์กรนี้ก็ไม่ควรที่จะมีอยู่อีกต่อไป เพราะฉนั้นองค์กรสหประชาชาติควรผลักดันและช่วยเหลือประชาชนชาวเมียนมาอย่างซื่อตรงและจริงใจ” นายสุรัถ กล่าว
นักเคลื่อนไหวชาวพม่ากล่าวว่า ประชาชนชาวเมียนมานั้นโชคร้ายเป็นอย่างมาก ทั้งโดนรัฐประหาร มีการประหัตประหารลงโทษประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้น ชาวพม่าบางส่วนต้องอพยพหนีภัยมาอยู่ในประเทศไทย แต่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นเผด็จการแบบซ่อนรูป และมีความเชื่อมโยงให้ความช่วยเหลือรัฐบาลพม่า หลังจากประเทศไทยได้ผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ชาวพม่าต่างตั้งตารอคอยคาดหวังให้รัฐบาลไทยชุดใหม่เป็นฝั่งประชาธิปไตย เพื่อผลักดันเรื่องแรงงาน และให้การช่วยเหลือพี่น้องชาวพม่าในไทย สถานการณ์การสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่าในขณะนี้มีความดุเดือดเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันทหารและตำรวจพม่าไม่กล้าใส่เครื่องแบบและแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าประชาชนชาวพม่าใกล้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ประชาชนชาวเมียนมายังสู้อยู่กับเผด็จการทหารที่ถือปืนและนานาชาติไม่ควรนิ่งเฉยต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้น
และในอนคตก็จะมีรวมกลุ่มประชาชนชาวพม่าในไทยออกมาเคลื่อนไหวกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศเมียนมาได้ประชาธิปไตยกลับคืน.
