เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ชาวบ้านบางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้เข้ายื่นหนังสือถึงปลัดกระทรวงทส.เพื่อขอให้เร่งรัดแก้ปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยที่ต้อการกลับขึ้นไปอยู่อาศัยและทำไร่หมุนเวียนในถิ่นฐานดั้งเดิมบ้านบางกลอยบนในป่าใจแผ่นดิน และก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามเห็นชอบตามแนวทางมติของคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 ซึ่งอนุญาตให้ชาวบางกลอยที่ต้องการกลับถิ่นสามารถกลับขึ้นไปอยู่บางกลอยบนได้ อย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่ได้รับการปฎิบัติตามโดยเฉพาะ ทส.
ทั้งนี้ ชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัด ทส. เป็นผู้รับหนังสือโดยนายพงษ์ศักดิ์ ต้นน้ำเพชร ตัวแทนชาวบ้านบางกลอยคืนถิ่น กล่าวว่า ต้องการทวงถามถึงการดำเนินการตามมติคณะกรรมการอิสระฯ ที่ล่าช้ามาก ในขณะที่ปัญหาของชาวบางกลอยก็มีหลายๆ ด้าน เช่น อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย โดยชาวบ้านที่ประสงค์จะกลับขึ้นไปที่บางกลอยบนก็ยังไม่ชัดเจน
“หากการดำเนินการยังล่าช้าแบบนี้ เราก็ต้องกลับมาทวงถามที่กระทรวงอีกที เรารอไม่ได้แล้ว เพราะปัญหาปากท้องของพี่น้องเป็นเรื่องรอไม่ได้ เรื่องคดีความก็ยังเดือดร้อน เขาจะดำเนินคดีเราต่อ แต่การแก้ปัญหาไม่มีการดำเนินการเลย 3 ปีที่ผ่านมามันคืบหน้าไปช้า เราหวังว่าครั้งนี้จะมีแนวทางให้เรากลับคืนถิ่นได้อย่างจริงจัง” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ขณะที่หนังสือดังที่ยื่นให้ ทส.นั้น ระบุว่า คณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาชุมชนกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ลงนามแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งได้มีการประชุมไปแล้ว 3 ครั้ง เห็นชอบให้ชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน เป็นชุมชนดั้งเดิม ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง จนเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ ชุดดังกล่าว ที่มอบหมายให้ ทส. แต่งตั้งคณะทำงานร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วย 1. ผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยที่ประสงค์จะกลับไปดำรงวิถีชีวิตด้วยระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน 2. กรรมการอิสระ และ 3. ผู้แทน ทส. ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เป็นแนวทางที่ดีที่สามารถรับรองข้อเรียกร้องในการกลับขึ้นไปทำกินในรูปแบบไร่หมุนเวียนที่บ้านบางกลอยบนได้
อย่างไรก็ตาม เป็นเวลากว่า 3 เดือนที่นายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับรองแนวทางดังกล่าว แต่กลับไม่มีผลในทางปฏิบัติ
“ทส. มีท่าทีปฏิเสธแนวทางดังกล่าว อาทิ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช พยายามบ่ายเบี่ยงให้การแก้ไขปัญหาบ้านบางกลอยจำกัดอยู่เพียงบ้านโป่งลึก-บางกลอย กล่าวอ้างว่าไม่จำเป็นต้องผลักดันแนวทางพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยงตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ตลอดจนการไม่ยอมรับแนวทางการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองและฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองด้วย ซึ่งถือเป็นการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่แก้ไขปัญหาประชาชนตามที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี” หนังสือระบุ
หนังสือระบุว่า ขณะนี้ชาวบ้านบางกลอยกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักจากการดำเนินงานของหน่วยงานภายใต้ ทส. เช่น เรื่องการขาดความมั่นคงทางอาหารเนื่องจากความล่าช้าในการปฏิบัติตามมติคณะกรรมการอิสระฯ และขณะนี้ชุมชนกำลังได้รับผลกระทบจากด่านแม่มะเร็วที่กีดขวางเส้นทางสัญจรของชาวบ้าน ทำให้ไม่สามารถเดินทางเข้า-ออกในสถานการณ์เร่งด่วนได้ รวมถึงการดำเนินการสำรวจพื้นที่การใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรในพื้นที่ป่าที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามมาตรา 65 ของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ก็ไม่มีความชัดเจน และยังปรากฏว่ามีการบีบบังคับให้ชาวบ้านต้องทำหนังสือขออนุญาตเข้าพื้นที่ป่าจากผู้ใหญ่บ้านและหน่วยงานอุทยานแห่งชาติในพื้นที่ กระทบต่อวิถีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรตามปกติธุระ และยังปรากฏว่ามีผลกระทบไปถึงการนำเข้าวัสดุถาวรเข้าไปในพื้นที่บ้านเพื่อสร้างหรือซ่อมแซมบ้าน ที่ต้องมีการขออนุญาตและตรวจสอบอย่างเคร่งครัดจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
เนื้อหาในหนังสือยังได้ระบุข้อเรียกร้อง ประกอบด้วย 1. ทส.ต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระฯ โดยเร่งด่วน และให้ชี้แจงความคืบหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร 2. ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยกเลิกด่านสกัดแม่มะเร็ว เปิดให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่สามารถเข้า-ออกพื้นที่บ้านของตนเองได้อย่างอิสระ 3. ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงผลการดำเนินการสำรวจตามมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ทั้งเรื่องแนวเขต ทรัพยากรที่อาจเก็บหาได้ รวมถึงรูปแบบการอนุญาตเก็บหาของป่า ซึ่งเรายืนยันว่าต้องไม่กระทบต่อวิถีการทำกินตามปรกติธุระของประชาชน
พชร คำชำนาญ ผู้ประสานงานภาคีเซฟบางกลอย กล่าวว่า การดำเนินการจัดตั้งคณะทำงาน 3 ฝ่ายนั้นควรเน้นการแก้ปัญหาที่ชาวบ้านบางกลอยคืนถิ่น 37 ครอบครัวที่ต้องการกลับขึ้นไปทำไร่หมุนเวียนที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดินเป็นหลัก เพราะทุกวันนี้การดำเนินการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและล่าช้า และดูเหมือน ทส. เองก็พยายามไม่ปฏิบัติตามมติคณะกรรมการอิสระฯ มาตลอด
“คณะทำงานฯ ชุดนี้ควรเน้นการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านกลุ่มบางกลอยคืนถิ่นที่ต้องการกลับบ้านบางกลอยบน เพราะที่ผ่านมาอุทยานฯ มักจะพัฒนาแต่พื้นที่บางกลอยล่าง และคุยกับชาวบ้านว่าไม่ต้องกลับขึ้นไปแล้ว และมีความพยายามที่จะไม่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการอิสระฯ และข้อเสนอแนะของหน่วยงานในประเด็นที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาให้ชาวบ้านกลับไปทำไร่หมุนเวียน เราจึงไม่อยากเห็นการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่หน่วยงานเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องเรื่องการทำไร่หมุนเวียนที่บางกลอยบน ฉะนั้นคณะทำงานชุดนี้จึงควรว่าด้วยเรื่องแนวทางกลับบางกลอยบน มากกว่าคุยเรื่องแก้ปัญหาบางกลอยล่าง” พชรกล่าว
นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัด ทส. กล่าวว่า การดำเนินการตั้งคณะทำงานดังกล่าวจะเร่งให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน ซึ่งมีสัดส่วนของกลุ่มบางกลอยคืนถิ่น คณะกรรมการอิสระฯ และ ทส. โดยเฉพาะสัดส่วนของคณะกรรมการอิสระฯ ที่จะช่วยได้มากในการแก้ปัญหา
“สมมติว่ามีแนวทางให้ชาวบ้านกลับบางกลอยบนได้ ก็ต้องดูว่าจะอยู่กันตามวิถีร่วมกันอย่างไร ซึ่งคณะกรรมการอิสระฯ น่าจะเข้าใจวิถีชีวิตของชนเผ่ามากกว่าและมีข้อเสนอแนะในคณะทำงาน 3 ฝ่าย รวมถึง ทส. ด้วย เพื่อให้เป็นแนวทางของบางกลอยคืนถิ่น” รองปลัด ทส. กล่าว
นอกจากนี้ชาวบ้านบางกลอยยังเดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือขอให้ทบทวนกรณีที่ชาวบ้านร้องขอความเป็นธรรมและสั่งไม่ฟ้องชาวบางกลอยที่ขึ้นไปอยู่บ้านบางกลอยบน และถูกเจ้าหน้าที่ทางการนำตัวกลับมาพร้อมทั้งดำเนินคดีกับชาวบ้าน ซึ่งทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและอีกหลายหน่วยงานต่างเห็นว่า เป็นประเด็นที่อัยการไม่ควรส่งฟ้องศาล
———-