
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่องค์กรภาคประชาชนทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติช่วยกันหามาตรการคุ้มครองประชาชนตามแนวชายแดนด้านตะวันตกซึ่งได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับฝ่ายต่อต้าน โดยเฉพาะการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดที่ไม่แยกแยะเป้าหมายซึ่งทำให้ชาวบ้านฝั่งไทยได้รับความเสียหายมาแล้วหลายครั้ง ว่าสถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีผลกระทบต่อทั้งราษฎรพม่าและราษฎรไทยนั้น นอกจากพม่าไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐบาลพม่าเป็นภาคีแล้ว ยังมีการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับอีกด้วย
ดร.ศรีประภากล่าวว่า พม่าเป็นภาคีกฎหมายระหว่างประเทศหลายฉบับ ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 4 ฉบับ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Geneva Conventions ทั้ง 4 ฉบับ ที่พม่าให้สัตยาบันเมื่อเดือนสิงหาคม 1992 (2535) ทั้งนี้ในอนุสัญญาเจนีวาซึ่งว่าด้วยแนวปฏิบัติในการทำสงครามเป็นเสมือน code of conduct ที่รัฐภาคีต้องปฏิบัติตาม ในขณะที่อนุสัญญาเจนีวา 3 ฉบับแรกกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อคู่สงครามและผู้มีส่วนร่วมในสงคราม (โดยเฉพาะทหาร) ส่วนอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 มุ่งเน้นการปฏิบัติต่อและการให้การคุ้มครองพลเรือนและผู้ไม่มีส่วนร่วมในสงคราม ซึ่งมีข้อห้ามการโจมตีเป้าหมายพลเรือนและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลเรือนเช่นหมู่บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น ดังนั้นปฏิบัติการทางทหารของกองทัพพม่าที่ผ่านมาที่โจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย (indiscriminate attacks) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พลเรือน ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย และก่อความเสียหายต่างให้กับพลเรือน จึงถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างรุนแรง

“อาจจะมีข้อโต้แย้งว่าการสู้รบในพม่าที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่ถือว่าเป็นสงครามตามนิยามความหมายของอนุสัญญาเจนีวา แต่หากพิจารณามาตรา 3 ของอนุสัญญาเจนีวาทั้ง 4 ฉบับ จะเห็นชัดเจนว่า ความขัดแย้งที่ไม่มีลักษณะเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างในกรณีของพม่าในฐานะรัฐภาคีไม่อาจหลีกเลี่ยงพันธกรณีได้โดยเฉพาะการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงคราม/ความขัดแย้ง ในขณะที่การสู้รบในพม่าผลกระทบอย่างสูงต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตสู้รบ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า การสู้รบที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อราษฏรไทยที่อาศัยบริเวรณชายแดน คนเหล่านี้ ต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลเช่นเดียวกัน” ดร.ศรีประภา กล่าว
นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.พรรคเป็นธรรม กล่าวว่าในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะขอหารือกับที่ประชุมสภาผู้แทนฯ ถึงข้อเสนอเร่งด่วนของภาคประชาชนที่ให้หามาตรการคุ้มครองจากผลกระทบจากส่งครามในประเทศพม่า เพื่อให้สภาฯได้รับทราบถึงปัญหาในสถานการณ์พื้นที่ชายแดนด้านตะวันตกของไทยด้านพม่าที่มีผู้หนีภัยอพยพข้ามมาซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมโดยสิ่งที่ตนอยากเสนอคือเรื่องการเปิดประตูสู่มนุษยธรรม (Humanitarian Corridor )โดยไม่ได้เป็นการเปิดให้ผู้หนีภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวร แต่เป็นการลดภาระให้ชุมชนโดยเฉพาะชุมชนที่มีคนลี้ภัยเข้ามา และได้มีแนวปฎิบัติของรัฐบาลก่อนๆ ในการให้ความช่วยเหลือคนเหล่านี้ แต่ไม่มีมิติการเพิ่มศักยภาพให้ชุมชน เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และรัฐไทยจำเป็นต้องมีการหารือกับรัฐบาลทหารพม่าเพื่อเปิดพื้นที่ปลอดภัยในฝั่งพม่าเพื่อให้ผู้ที่หนีภัยการสู้รบหลบเข้าไปอยู่อย่างปลอดภัย โดยพื้นที่เหล่านี้จะต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ และไม่มีการนำเครื่องบินมาทิ้งระเบิด

“พื้นที่ชายแดนต้องเป็น No Fly Zone หรือ No Fighting Zone แล้วทำให้ผู้ลี้ภัยอยู่บนฝั่งพม่าได้ ขณะที่ฝั่งไทยก็สามารถส่งต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านพื้นที่ปลอดภัยจากฝั่งไทยเข้าไปฝั่งพม่า โดยให้องค์กรต่างๆ เข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฝ่ายเดียว” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องแสวงหาความเป็นผู้นำในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมซึ่งเราเคยทำมาแล้วสมัยสงครามอินโดจีนซึ่งได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศเพราะดูแลเรื่องนี้ได้ดีมาก โดยต้องมีการหารือกับ 2 ส่วนคือผู้นำทหารพม่าในความจำเป็นที่ต้องเกิด No Fly Zone โดยเร็วเพราะประชาชนในพื้นที่ชายแดนจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองเร่งด่วน และรัฐบาลไทยจำเป็นต้องแสวงหาแนวร่วมในพหุภาคีโดยใช้กรอบอาเซียน ซึ่งจะสอดคล้องกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ซึ่งอาเซียนจะเข้าไปคุยกับผู้นำทหารพม่าและเรื่องประตูสู่มนุษยธรรมเป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้นำอาเซียนหยิบยกเข้าไปหารือ
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพพม่ามักให้เหตุผลว่าการใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดนั้นเป็นพื้นที่ของพม่าที่โจมตีฝ่ายต่อต้าน ไม่ใช่เขตพลเรือน นายกัณวีร์กล่าวว่า การที่พม่าอ้างว่าเป็นอธิปไตยเหนือดินแดนของตนเป็นเหตุผลที่ใช้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไทยต้องยึดมั่นในเรื่อง No Fly Zone ไว้ โดยต้องหารือกับทหารพม่าให้ได้รวมทั้งใช้กรอบของอาเซียนร่วมกดดันให้ได้ ที่สำคัญคือพม่าจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องการยิงแบบไม่หวังผลหรือการยิงมั่วต้องยุติให้ได้ ดังนั้น No Fly Zone จึงควรเกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับทหารพม่า แต่ทหารไทยมีความร่วมมือที่ดีกับฝั่งพม่าทั้งระดับระดับพื้นที่และระดับภูมิภาค ดังนั้นไทยจึงต้องใช้ทุกกลไกที่มีอยู่เพื่อแสวงหาความร่วมมือตรงนี้ให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจบริหารเต็มที่ ทำให้ภาคประชาชนมีความคาดหวังกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่รู้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีวิธีการกดดันให้กลไกรัฐดำเนินการอย่างไร ส.ส.พรรคเป็นธรรมกล่าวว่า การหารือในสภาฯวันที่ 10 สิงหาคม เราจะพยายามใช้ทุกกลไกของสภาฯทั้งการยื่นญัติ การตั้งกระทู้เฉพาะเรื่อง กระทู้นอกห้อง เพื่อผลักดันเรื่องนี้ ทั้งการส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี และในการหารือในสภาฯก็มีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็ต้องเข้าร่วมด้วย
