เปิดใจหนูน้อยที่ถูกทางการไทยผลักดันกลับพม่า เผยบางส่วนกลับมาเรียนฝั่งไทยแล้ว แต่ส่วนใหญ่ฐานะยากจนแม้ต้องการกลับมาเรียนอีกก็ทำไม่ได้ พรรคก้าวไกลเสนอตั้ง กมธ.พิจารณาการศึกษาเด็กไม่มีหลักฐาน

ความคืบหน้ากรณีเด็กไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร 126 คน จากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ถูกหน่วยงานภาครัฐซึ่งประกอบด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)และกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)ร่วมกันผลักดันกลับประเทศพม่า ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเนื่องจากขัดกับหลักการด้านการศึกษาและอนุสัญญาระหว่างประเทศเนื่องจากเด็กทั้งหมดต้องออกเรียนกลางคัน

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อพบกับเด็กๆที่ถูกผลักดันกลับพม่ากลุ่มนี้จำนวนหนึ่งซึ่งได้กลับเข้ามาเรียนหนังสือในประเทศไทยอีกครั้งโดยเดินทางเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย และไม่มีหน่วยงานภาครัฐคอยช่วยเหลือแต่อย่างใดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ที่เดินทางมาร่วมประชุมที่จังหวัดเชียงรายก่อนการส่งกลับได้รับปากไว้ในที่ประชุมว่า หากเด็กเหล่านี้ต้องการเดินทางกลับมาเรียนหนังสือก็จะมีหน่วยงานราชการไทยให้การสนับสนุนแต่ต้องเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้อง

“หนูและเพื่อนๆอยากกลับมาเรียนฝั่งไทยเพราะเมื่อจบแล้วสามารถหางานทำในฝั่งท่าขี้เหล็กได้ เพราะถ้าพูดภาษาไทยได้เขาก็จะรับเข้าทำงาน”เด็ก 1 ใน 126 คนที่ถูกผลักดันกลับให้เหตุผล โดยหนูน้อยรายนี้พร้อมเพื่อนๆกลุ่มใหญ่เดินทางมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งฝั่งพม่าซึ่งต้องใช้เวลานับชั่วโมงจากเมืองท่าขี้เหล็ก ชายแดนไทย-พม่า

“พวกเราที่เดินทางไปเรียนที่อ่างทอง เพราะที่นั่นเรียนฟรี อยู่ฟรี เราไปขึ้นรถที่หน้าห้างโลตัสแม่สาย เราอยากเรียนให้จบ ม.6 ที่นั่นเลย แต่ถูกส่งตัวกลับมาก่อน”หนูน้อยอีกราย กล่าว

ทั้งๆนี้เด็กๆ 126 คนถูกผลักดันกลับประเทศพม่าเกือบหมด ยกเว้น 4 คนพี่น้องที่พ่อแม่เป็นผู้หนีภัยการสู้รบในพม่าและมีป้าเป็นผู้ปกครอง เด็กทั้ง 4 คนยังอยู่ในบ้านเด็กแห่งหนึ่งที่อำเภอแม่จัน เนื่องจากพ่อแม่ยังไม่มารับ และทางบ้านเด็กปฎิเสธไม่ให้ป้าของเด็กมารับ และระหว่างรอส่งกลับนี้ได้ส่งให้เด็กทั้ง 4 ไปเรียนหนังสือเป็นการชั่วคราว ขณะที่เด็กส่วนใหญ่ที่แยกย้ายกันไปแล้ว กลับไปอยู่บ้านฝั่งพม่าและส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ แม้ต้องการจะกลับมาเรียนในประเทศไทย แต่ด้วยฐานะยากจนจึงไม่สามารถมาเรียนได้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เดินทางกลับมาเรียนตามสถานศึกษาต่างๆบริเวณชายแดนจังหวัดเชียงราย

ในวันเดียวกัน ที่อาคารรัฐสภา กทม. ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ และ เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมแถลงข่าวเพื่อเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย จากกรณีเด็กที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรที่มาศึกษาในโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ถูกส่งกลับภูมิลำเนาที่ประเทศพม่า

ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนได้มีส่วนสืบข้อเท็จจริงตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏข่าว และข้อค้นพบคือโรงเรียนไม่สามารถออกรหัส G หรือ Generate Code ที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้กำหนดรหัสประจำตัวสำหรับนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรได้ เนื่องจากนักเรียนทั้งหมดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดี แม้กรณี จ. อ่างทองขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง แต่จำเป็นต้องถอดบทเรียนร่วมกันว่าเป็นกรณีที่เข้าข่ายขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หลักการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) ตลอดจนขัดต่อนโยบายหรือมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องเคารพต่อคนไร้สถานะในประเทศไทยหรือไม่

.

ณัฐวุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงไม่อาจใช้กระบวนการปรึกษาหารือหรือการยื่นต่อกรรมาธิการสามัญซึ่งยังไม่เกิดขึ้นคณะใดคณะหนึ่งได้ โดยขณะนี้พรรคก้าวไกลได้ยื่นญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญฯ เรียบร้อยแล้ว หวังว่าสภาจะเร่งบรรจุวาระการพิจารณา และหวังว่าเพื่อนสมาชิกจากทุกพรรคการเมืองจะสนับสนุน

.โดยสิ่งที่เราคาดหวัง ประการแรก ต้องมีการสรุปตัวเลขและประเด็นปัญหาให้ชัดเจน ว่าวันนี้ยังมีเด็กที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษา หรือเข้าถึงแต่ไม่สามารถออกรหัส G ได้ทั้งหมดจำนวนเท่าไร ติดปัญหาอุปสรรคใด ประการที่สอง กรณีเด็กที่มีรหัส G แล้วนั้น จะต้องนำไปสู่การลงรายการสถานะบุคคล ปัจจุบันพบว่ากว่า 90,000 คนที่มีการลงรหัส G มีการลงรายการสถานะบุคคลเลขประจำตัว 13 หลักเพียง 30,000 คนเท่านั้น

.

“ยืนยันพรรคก้าวไกลไม่นิ่งนอนใจ จะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ผลักดันนโยบายในประเด็นการให้สถานะบุคคลหรือการให้สัญชาติไทยแก่บุคคลที่ควรจะได้ ซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคเคยหาเสียง พรรคไม่คืนคำพูด จะเดินหน้าทำหน้าที่ตามที่หาเสียงไว้อย่างแน่นอน” ณัฐวุฒิกล่าว

.

ด้าน ปารมี ในฐานะผู้เสนอญัตติและคณะทำงานประเด็นนี้ กล่าวว่า กรณี จ.อ่างทอง หากแก้ปัญหาสั้นๆ ทีละจุด ก็จะมีปัญหาพบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จึงมีมติของพรรคเห็นว่าควรแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ปัจจุบันปัญหาเด็กรหัส G นั้น แม้แต่ตัวเลขยังไม่แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตอบไม่ได้

.

ทั้งนี้จากการค้นข้อมูลพบว่าเมื่อปี 2562 นักเรียนที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติในไทยมีถึง 300,000 คน ในจำนวนนี้ได้รหัส G เข้าเรียนประมาณ 100,000 คน นั่นแสดงว่าส่วนที่เหลือไม่เข้าถึงการศึกษา ดังนั้น การตั้ง กมธ.วิสามัญฯ จะทำให้ได้ตัวเลขและหน่วยงานผู้รับผิดชอบเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน

.

“เรื่องนี้นอกจากเป็นประเด็นด้านมนุษยธรรม ยังเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากปัจจุบันแรงงานไทยเลือกไม่ทำในหลายอาชีพ ทำให้ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น หากเราทำให้ลูกหลานแรงงานเหล่านี้ลงรหัส G และเข้าเรียนได้ จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทยที่จะได้แรงงานที่มีทักษะเพิ่มขึ้น ตลอดจนลดปัญหาอาชญากรรม ปัญหาความมั่นคง ปัญหาสาธารณสุขด้วย”ปารมี กล่าว

.

ด้านมานพ ในฐานะประธานเครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ระหว่างที่รอญัตติตั้ง กมธ.วิสามัญดังกล่าว พรรคก้าวไกลโดยเครือข่ายชาติพันธุ์จะทำหน้าที่ประสานข้อมูล ลงพื้นที่เพื่อประกอบการทำงาน นอกจากนี้ เรื่องใดที่ไม่ต้องรอ กมธ. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล พรรคก้าวไกลพร้อมประสานดำเนินการโดยทันที ส่วนพี่น้องประชาชนที่มีปัญหาในการประสานงานกับภาครัฐหรือกระบวนการทำงานขอสถานะบุคคลและสัญชาติ สามารถประสานมาที่คณะทำงานด้านสถานะบุคคลและสัญชาติของพรรคก้าวไกลได้เช่นกัน