Search

นักวิชาการแนะต้องสร้างประชาธิปไตยพลังงาน เผยนักการเมือง-ทุนใหญ่ยืนบังแสงอาทิตย์ไว้เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง  เครือข่ายต่อต้านทุนผูกขาดออกแถลงการณ์ต้านโครงการเขื่อนปากแบงกั้นโขง

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ณ แก่งผาได บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น เครือข่าย Thai Climate Action Network (Thai C-CAN) และองค์กรภาคประชาสังคม ได้ลงพื้นที่รณรงค์ต่อต้านทุนผูกขาดพลังงานไฟฟ้าเขื่อนแม่น้ำโขง ภายหลังจัดเวทีเสวนา “ค่าไฟ ชุมชน โลกร้อน ความไม่เป็นธรรมพลังงานไทย ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน

นายประจักษ์ ศรีคำภา รองเลขาธิการ ฝ่ายประสานงานไทย C-CAN (Thai Climate Change Action Network) กล่าวว่า ในวันที่ 6-7 กันยายน ทางเครือข่ายฯ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงาน และเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขง ได้จัดเสวนาร่วมกันและจัดกิจกรรมรณรงค์ หาแนวทางและกำหนดท่าทีในข้อเรียกร้องร่วมกันเพื่อเสนอ Thai Climate -Action ต่อความท้าทายเรื่องพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อหยุดการใช้พลังงานจากฟอสซิล และรณรงค์เรื่องพลังงานต้องเป็นธรรม ในการประชุม COP 28 ภาคประชาชน ในวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมาการให้ทุนปลูกป่า และกิจกรรมอื่นๆ ไม่ตอบโจทย์ชุมชน และประเด็นปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

นายประจักษ์กล่าวว่า การมาประชุมที่โฮงเฮียนแม่น้ำของ ของกลุ่มรักษ์เชียงของ เพราะเห็นว่าขณะนี้กำลังรณรงค์ต่อต้านโครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้า (PPA) จากเขื่อนพลังน้ำปากแบง โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อชุมชนลุ่มน้ำโขงที่ได้รับผลกระทบ และขณะนี้ปริมาณสำรองไฟฟ้าของไทยมีปริมาณสูง การรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จึงทำให้ต้นทุนพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เป็นภาระประชาชนที่จะอยู่ในค่า ft ที่ต้องจ่ายเพิ่ม

นายนิวัติ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ได้กล่าวเปิดงานในเวทีเสวนาว่า กว่า 2 ทศวรรษที่เขื่อนได้ทำลายแม่น้ำโขง ผลกระทบทั้งเรื่องการไหลไม่เป็นธรรมชาติ ระดับน้ำโขงไม่เป็นตามฤดูกาล ทำลายระบบนิเวศ วิถีชีวิตคนลุ่มน้ำ กว่า 20 ปีที่ต่อสู้มาทั้งในเรื่องระเบียบข้อกฎหมาย ฟ้องศาลปกครอง แต่กฎหมายของไทยไม่ครอบคลุมผลกระทบข้ามแดน การฟ้องคดีทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางชนะ แต่เพื่อให้เห็นประเด็นปัญหา เพื่อให้สังคมพิจารณาผลกระทบ ความเดือดร้อน ประเด็นเรื่องธรรมาภิบาลที่อ้างอธิปไตยเขตแดน แต่กลับไม่มองถึงผลกระทบข้ามแดนที่เกิดกับนิเวศและประชาชน

“อำนาจยังอยู่ที่รัฐและทุนใหญ่ จึงมองว่าการสร้างเขื่อนเพื่อเงิน เพื่อกำไรของทุนเท่านั้น เพราะเห็นได้ว่าไฟฟ้าสำรองก็ล้นเกิน และในอนาคตยังมีพลังทางเลือกอีกมากมาย” นายนิวัฒน์ กล่าว

ผศ.ประสาท มีแต้ม นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า ต้องสร้างประชาธิปไตยพลังงาน ตราบใดที่รัฐและทุนคุมเขื่อน ปัญหาโลกร้อน และน้ำมันแพงก็จะคงอยู่ จึงต้องเพิ่มพลังประชาชน สิทธิความเป็นมนุษย์ ที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ ต้องการพลังงานที่เป็นธรรม ประชาธิปไตยพลังงานจะต้องมีความยืดหยุ่น ขณะที่พลังงานสะอาดเช่นพลังงานแสงอาทิตย์มีการศึกษาว่า หากโลกนี้เก็บพลังงานแสงอาทิตย์เพียง 8 นาที จะสามารถป้อนพลังงานให้คนทั้งโลกใช้ได้ตลอดทั้งปี สมัยก่อนเทคโนโยลีแพงในการเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ปัจจุบันสามารถทำได้ แต่มีกลุ่มคนยืนบังอยู่ ทั้งนักการเมือง พ่อค้าฟอสซิล ขณะที่โลกนี้สามารถเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ พอๆ กับเทคโนโลยีมือถือที่ผลิตให้คนใช้ แต่รัฐกับทุนกลับเลือกแต่การผลิตมือถือ แต่ไม่ลงทุนเก็บพลังงานแสงอาทิตย์และนำมาใช้ เพราะไม่ได้กำไร ปัจจุบันรัฐบาลใหม่เรามักได้ยินว่า จะลดค่าไฟฟ้าทันที ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการลดภาษี การยืดชำระหนี้ของ กฟผ. ที่จะทำให้ราคาน้ำมันลดทันที แต่ไม่ลดต้นทุนอื่น และกระเป๋านายทุน ยังมีกำไรเท่าเดิม ขณะที่ประเทศต้องนำเข้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และยังมีความไม่เป็นธรรมเช่นประเทศไทยไม่มีการเก็บภาษีลาภลอย ไม่มีการยืดหยุ่น ให้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ขาดการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราต้องมีกำลังใจสู้กับอธรรมอย่างไม่ยอมรับกลไกตื้นๆ ของมัน

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ภูมิภาค องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวว่า ใน 2 ปีที่ผ่านมา เขื่อนบนแม่น้ำโขงได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ประชาชนทั่วไป เนื่องจากไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าเขื่อนใหม่ในแม่น้ำโขง ส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าที่แพงและไม่เป็นธรรม การลงนามซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่มีความจำเป็นต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ แต่ไทย โดยกฟผ. ยังคงเดินหน้าลงนามซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในลาว ที่เป็นทุนไทยกับจีน และยังได้ลงนามรับซื้อจากเขื่อนปากลาย 770 เมกะวัตต์ เขื่อนหลวงพระบาง 1400 เมกะวัตต์ และปากแบงที่เตรียมลงนามรับซื้อ มีกำลังการผลิต 912เมกะวัตต์

น.ส.เพียรพร กล่าวว่า ขณะที่ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นด้านความมั่นคงพลังงาน แต่กลับลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าที่ผูกพัน 29-35 ปีในการรับซื้อไฟฟ้า แบบ take or pay เมื่อเครือข่ายฯ ได้ทวงถามจากกระทรวงพลังงาน ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่ก็สงสัยว่าเป็นความร่วมมือแบบไหนที่ละเลยประชาชน ผลักประชาชนออกจากทรัพยากรมั่งคั่งที่มีอยู่ ก่อนหน้านี้มีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขในรัฐบาลใหม่ หากดูเหมือนจะหมดหวังไป แต่อย่างไรก็ตามคงต้องต่อสู้เคลื่อนไหวต่อไปในเรื่องความเป็นธรรมด้านพลังงาน สิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล

ทั้งนี้เครือข่าย Thai Climate Action Network (Thai C-CAN) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านโครงการสร้างเขื่อนปากแบงโดยระบุว่า ประเทศไทยกลับมีความพยายามเพิ่มโรงไฟฟ้าโดยไม่มีความจำเป็นโดยเฉพาะการลงทุนสร้างเขื่อนปากแบงขวางลำน้ำโขงเพื่อผลิตไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนลาวเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ของนายทุนเพียง 2 กลุ่มใน 2 ประเทศคือจีนและไทย ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงกระทบต่อระบบนิเวศ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนทั้งในฝั่งลาวและฝั่งไทย นอกจากนั้นคนไทยทั่วทั้งประเทศที่เป็นผู้ใช้พลังงานไฟฟ้ายังต้องแบกรับภาระในการจ่ายค่าไฟฟ้าในราคาที่แสนแพงเพื่อรักษาเสถียรภาพทางแผนพลังงานและเศรษฐกิจให้กับนายทุนพลังงานที่ได้รับผลประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมด้านพลังงานไฟฟ้า

“ดังนั้นเครือข่าย Thai C-CAN ซึ่งเป็นเครือข่ายองค์กรที่จับตาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จึงขอเรียกร้องให้เกิดการกระจายอำนาจในการจัดการพลังงานไฟฟ้าอย่างเท่าเทียม โดยการเร่งกำหนดนโยบายเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม และเรียกร้องให้หยุดการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าข้ามแดนที่เกินความจำเป็น”แถลงการณ์ระบุ

————-