เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 สำนักข่าว The Reporters สำนักข่าวชายขอบ และ GreenExpress ได้ร่วมกันจัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “เขื่อนปากแบง ผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ของใคร?” โดยวิทยากรประกอบด้วย นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ จ.เชียงราย น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการรณรงค์ภูมิภาค International Rivers นายทองสุข อินทะวงศ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ดำเนินรายการโดย น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย
น.ส.เพียรพรกล่าวว่า โครงการเขื่อนปากแบง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้า (PPA) แล้ว และบริษัทกัลฟ์ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยในห้วงปีที่ผ่านมาไทยมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับ 3 โครงการเขื่อนแม่น้ำโขง ได้แก่ปากลาย หลวงพระบาง และปากแบง สำหรับโครงการเขื่อนปากแบง ตลอดระยะเวลา 7 ปี ชาวบ้านได้ตั้งคำถามมาโดยตลอด ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำในฐานะกองเลขาคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยได้จัดเวที PNPCA ตามข้อตกลงแม่น้ำโขงของ เอ็มอาร์ซี (Mekong River Commission-MRC) ซึ่งมีข้อกังวลอย่างยิ่งจากประชาชนและภาควิชาการเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะน้ำเท้อ backwater effect ตะกอนแร่ธาตุ พันธุ์ปลาและประมง ข้อกังวลเหล่านี้เอกสารของเอ็มอาร์ซีได้ระบุไว้ชัดเจน แต่ยังไม่มีการตอบหรือเอกสารการศึกษาใดๆ อธิบาย แต่เมื่อวันที่ 13 กันยายน กลับมีการลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้าไปแล้ว
“โครงการนี้เริ่มต้นโดยมีผู้พัฒนาโครงการคือบริษัทต้าถัง รัฐวิสาหกิจจากจีน โดยส่งผู้บริหารมาหารือกับเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ที่โฮงเฮียนน้ำของ โดยได้มีการพูดถึง 6-7 ประเด็นที่ยังเป็นข้อกังวลระบุในเอกสารของไทย และบริษัทต้าถังเห็นด้วยกับข้อเสนอให้ทำการศึกษาเพื่อตอบข้อกังวลเหล่านี้ แต่ตอนนี้กลับมีการลงนาม PPA ไปแล้ว” ผู้อำนวยการฯกล่าว
น.ส.เพียรพร กล่าวว่ารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) จัดทำโดยบริษัทจีน ทั้งโครงการปากแบงและปากลาย ข้อมูลบางส่วนในรายงานอีไอเอเหมือนกันแทบหมด และเป็นข้อมูลที่เก่าเกินสิบปี ไม่สามารถทราบผลกระทบในปัจจุบัน ทำให้เกิดคำถามว่าเมื่อตัดสินใจอนุมัติโครงการได้อ่านรายงานแล้วหรือยัง และจะสร้างเขื่อนที่ไม่จำเป็นนี้ไปทำไม ประชาชนมีสิทธิตั้งคำถาม
น.ส.เพียรพรกล่าวว่า คณะกรรมการเขื่อนโลก (WCD) ได้ออกรายงาน มีหลักการ 7 ประการข้อหนึ่งคือ Comprehensive Options Assessment พิจารณาทางเลือกอย่างรอบด้าน ว่าเรามีทางเลือกอะไรบ้างนอกจากเขื่อน ขณะนี้ประเทศไทยมีไฟฟ้าเกินความจำเป็น เรามีทางเลือกอื่นในการจัดการพลังงาน ควรสร้างประชาธิปไตยพลังงาน ไม่ใช่ผูกขาดกับเอกชนรายใหญ่เพียงไม่กี่เจ้า น่าตกใจคือการลงนามสัญญา PPA ยาวนานถึง 29 ปี เราไม่มีทางเลือกพลังงานอื่นเลยหรือ เหมือนเราถูกจับขังให้ต้องซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนทั้งๆ ที่มีเทคโนโลยีทางเลือกอื่นมากมาย ถามว่าความเป็นธรรมด้านพลังงานอยู่ตรงไหน เราทุกคนต้องแบกค่าไฟฟ้าแสนแพงนี้ไปถึงไหน
“แม้สัญญาลงนามแล้ว แต่หากเป็นผลประโยชน์ของประชาชน ก็ต้องมีวิธีการชะลอออกไปก่อน รอให้ศึกษาผลกระทบที่ชัดเจน แม่น้ำโขงไม่ใช่ของไทยหรือลาว แต่เป็นแม่น้ำที่ผ่าน 6 ประเทศในภูมิภาค คุณค่าทางธรรมชาติสูงมาก แต่ที่ดิฉันสะกิดใจมากคือ ผู้บริหารบริษัทพัฒนาโครงการรายหนึ่งพูดว่าพลังงานน้ำไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง เขาไม่ได้คิดเลยว่าหากนับรวมทรัพยากรแม่น้ำโขงที่ต้องสูญเสียไปทั้งหมดถือว่าต้นทุนสูงมาก พลังงานน้ำไม่ใช่พลังงานสะอาดต่อไป มีการศึกษาหลายชิ้นว่าต้นน้ำโขงที่เทือกเขาหิมาลัย น้ำแข็งละลายไวขึ้น แต่เรายังถูกจับขังกับสัญญาเขื่อนนี้ หากนายกฯให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) จำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องทบทวนในการหาพลังงานทางเลือกอื่นที่เป็นธรรมและมีส่วนร่วม”น.ส.เพียรพร กล่าว
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่าให้ความสำคัญกับกรณีเขื่อนปากแบง และสมาชิกพรรคก้าวไกลได้เตรียมตั้งกระทู้สดถามนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่นายพีระพันธุ์ไม่ว่าง พอสัปดาห์นี้ก็เตรียมตั้งกระทู้ถามอีกแต่ไม่แน่ใจว่านายพีระพันธุ์จะมาตอบด้วยตัวเองหรือไม่ ทำให้รู้สึกผิดหวัง เพราะโครงการนี้ส่งผลกระทบกับประชาชน ยังไม่นับรวมถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทุกวันนี้คนไทยทั้งประเทศทราบดีว่าปัญหาค่าไฟฟ้าแพงเกิดจากการมีไฟฟ้าสำรองมากกว่าความต้องการถึง 50 เปอร์เซ็นต์และรัฐต้องจ่ายค่าพร้อมจ่ายให้กับบริษัทเอกชนเจ้าของเขื่อน สิ่งเหล่านี้ถูกคำนวณและเรียกเก็บจากประชาชน ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานควรตอบคำถามนี้
นายวิโรจน์กล่าวว่า จริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ประชาชนเรียกร้องให้ทบทวนการลงนามซื้อขายไฟฟ้า และเข้าใจว่ารัฐบาลต้องอ้างมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ที่ประชุมก่อนหน้านี้ แต่หากรัฐบาลเห็นความสำคัญว่าการสร้างเขื่อนปากแบงส่งกระทบวิถีชีวิตประชาชน ก็สามารถใช้มติคณะรัฐมนตรีทบทวนได้ และปกติเรามีแผนพลังงานชาติ รัฐบาลชุดที่แล้วทำไม่ทันจึงต้องให้รัฐบาลขุดนี้ทำปี 2567 แต่จะมั่นใจอย่างไรว่าการอนุมัติซื้อเขื่อนปากแบง จะสอดคล้องกับแผนดังกล่าว เราต้องถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอย่างตรงไปตรงมา และนายกฯ สามารถทบทวนใน ครม.ได้ หรือรอแผน กพช.ปี 2567 เพื่อให้สอดคล้อง
นายวิโรจน์กล่าวว่า ทั่วโลกต่างเห็นว่าพลังงานน้ำไม่ได้สะอาดจริง หากรัฐบาลต้องการใช้นโยบาย net zero แต่กลับใช้ไฟฟ้าจากเขื่อน เท่ากับลูบหน้าปะจมูก
“ทั้งคุณเศรษฐา(ทวีสิน นายกรัฐมนตรี) คุณพีระพันธุ์ อาจอ้างว่ากว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ (COD) ก็ต้องรออีก 10 ปี กว่าจะจ่ายไฟเพื่อการพาณิชย์แล้วคุณทำนายความต้องการใช้ไฟฟ้าตอนนั้นได้จริงๆ หรือ ตอนนี้คุณมีไฟฟ้าสำรองกว่า 50 % ผมว่ารัฐบาลควรวางแผนให้ภาคครัวเรือนสามารถใช้พลังทางเลือก เช่น โซลาร์ จะดีกว่า ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำไมรัฐไม่พูดถึงตรงนี้ แต่กลับเริ่มต้นด้วยการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อน รัฐควรสร้างความมั่นคงไฟฟ้าให้กับภาคประชาชนก่อน ไม่ใช่ประเคนให้กับเอกชน” นายวิโรจน์ กล่าว
สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลกล่าวว่า เราได้รับผลกระทบมาหลายเขื่อนแล้ว ไม่ใช่แค่ปากแบง แต่รัฐไม่เคยสนใจ รัฐบาลได้ประเมินต้นทุนความเสียหายที่ประชาชนและรัฐต้องจ่ายแล้วหรือยัง ที่ผ่านมาได้สร้างโฆษณาชวนเชื่อมาตลอด แต่สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้ เท่าที่ได้ดูมติ กพช.ไม่ได้พูดชัด เหมือนลอยแพประชาชน ชักดาบ ทอดทิ้ง แล้วจะไม่ให้ประชาชนคัดค้านได้อย่างไร เพราะต้นทุนของพวกเขาที่สะสมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย หลายรุ่นต้องสูญเสียไป และยังมีผลกระทบด้านความมั่นคง รัฐบาลได้หารือกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วหรือยัง นอกจากนี้มีเรื่องผลกระทบค่าไฟฟ้าที่แพง เพราะประชาชนกว่า 60 ล้านคนต้องร่วมแบกรับ สัญญา 29 ปี ซึ่งยาวนานมาก
“เราตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่ถ้าหนี 2 สัปดาห์ ประชาชนคงวิพากษ์วิจารณ์หนัก ผมเตือนว่าให้มาตอบเถอะ ถ้าไม่มาจริงๆก็ตั้งกระทู้ทั่วไป หรือตอบลายลักษณ์อักษร และเมื่อมีการตั้งคณะกรรมาธิการแล้ว เมื่อนำเรื่องนี้เข้าพิจารณา อาจจะไม่จบในครั้งเดียว อาจต้องเข้าพิจารณาเรื่อยๆ เพราะพรรคก้าวไกลไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป เราจะขับเคลื่อนร่วมกับภาคประชาชน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวว่า เมื่อมีการสร้างเขื่อนหรือโรงไฟฟ้ามักคิดว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบอยู่เฉพาะรอบๆ เขื่อนหรือโรงไฟฟ้า และพยายามให้เป็นผู้เสียสละ ประชาชนที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้าเท่านั้นที่ต่อสู้ แต่ปัจจุบันคิดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะค่าไฟฟ้าเกี่ยวข้องเกี่ยวกับประชาชนทั้งหมด ดังนั้นภาคประชาชนต้องร่วมกัน อย่าปล่อยคนให้พื้นที่สู้โดยลำพัง เพื่อเป้าหมายคือความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ควรมีใครต้องเสียสละ เพราะสุดท้ายการเสียสละที่ไม่เป็นธรรมทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม แต่นายทุนเท่านั้นที่รวย
“สมมุติว่าคุณไปกู้เงินนอกระบบ พอไม่มีเงินจ่ายและขอเขาผัดผ่อนให้จ่ายเดือนหน้า คุณยังได้หายใจหายคอ แต่สำหรับค่าไฟฟ้าถ้าคุณไม่จ่ายเพียง 15 วันคุณถูกตัดไฟ ถ้ายังไม่จ่ายอีกสักพักคุณถูกยกหม้อไฟ มันโหดจริง สภาพเหมือนกันมาเฟียที่คอยไถเงิน ทุกคนตอนนี้ต้องใช้ไฟฟ้ากันหมด ขณะที่นายทุนเจ้าของโรงงานไฟฟ้า แม้ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ก็นั่งนับเงินฟรีจากค่าพร้อมจ่าย” สส.พรรคก้าวไกล กล่าว
นายนิวัฒน์กล่าวว่า ตลอด 7 ปีที่ประชาชนตั้งคำถามเขื่อนปากแบง แต่ไม่มีข้อใดเลยที่หน่วยงานภาครัฐชี้แจงหรืออธิบายกับชาวบ้าน ที่สำคัญในเรื่องน้ำเท้อและพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พื้นที่ริมโขงที่ประชาชนใช้ในฤดูแล้ง หากสร้างเขื่อนน้ำจะท่วมเกาะแก่งต่างๆเหมือนกับเราเสียดินแดนหรือพื้นที่ การสร้างเขื่อนปากแบงไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ แต่เป็นประโยชน์ของกลุ่มทุน เขื่อนปากแบงอัปยศมากในขั้นตอนต่างๆ เพราะไม่ได้ตอบคำถามอะไรสักอย่าง ผมกล้าพูดว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาใจใส่ในความเดือดร้อนของประชาชน แม่น้ำโขงตอนบนในจีนมีเขื่อน เราได้รับผลกระทบมานานแล้ว ระดับน้ำขึ้นลงเร็วมาก เพราะเปิดปิดเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าและการเดินเรือ หากมีเขื่อนปากแบงกั้นตอนล่างอีก พื้นที่เชียงของ เชียงแสน เวียงแก่นจะเหมือนอ่างเก็บน้ำ เป็นการแช่แข็งแม่น้ำโขง ระบบนิเวศเสียหายหมด เป็นผลประโยชน์ของใคร ทั้งๆ ที่เรื่องพลังงานมีทางเลือกมากกว่านี้
“ชาวบ้านไม่รับทราบมาก่อนเลยว่าเขาจะลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้า ผมรู้สึกหดหู่ใจมากถึงความไม่เห็นความสำคัญ ความไม่เอาใจใส่ต่อประชาชน เมื่อมีรัฐบาลใหม่ เราก็หวังว่าจะมีการทบทวน แต่กลับรีบเซ็นสัญญา สรุปแล้วการสร้างเขื่อนปากแบงเป็นเรื่องของเงินทั้งหมด”นายนิวัฒน์กล่าว
ครูตี๋กล่าวอีกว่า แม่น้ำโขงป่วยหนักจากเขื่อนมาแล้วกว่า 20 ปี เพราะเขื่อนได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง หากสร้างเขื่อนปากแบงอีก ทำให้ประชาชนใน 3 อำเภอของเชียงรายเดือดร้อนหนักมาก เราไม่รู้ว่าผลกระทบรุนแรงแค่ไหนเพราะรัฐไม่เคยบอก เขาบอกมีแผนเยียวยา 40 ล้านบาท พอถามรายละเอียดก็ตอบไม่ได้ และเมื่อถามเรื่องพื้นที่หรือดินแดนที่เราเคยใช้ จะหายไปหมด พื้นที่แก่งผาไดกว่า 70 ไร่ หาดบ้านดอนมหาวันที่จัดกิจกรรมก็หายไป หากน้ำยกระดับเพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการเสียดินแดน แล้วใครรับผิดชอบ เป็นเรื่องใหญ่ เราจึงทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้รู้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“การพัฒนาที่ต้องทำลายธรรมชาติและความสมดุลยังไม่เปลี่ยนแปลงไป เพราะยังไม่ได้สนใจธรรมชาติ เราต้องคิดใหม่เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เรายังคิดเหมือนเดิม ที่บอกว่าพลังงานน้ำสะอาด จะสะอาดได้อย่างไร ปลาหายไป คนไร้อาชีพ ถ้าคิดแบบเดิมทรัพยากรธรรมชาติไม่เหลือแล้ว” นายนิวัฒน์ กล่าว
นายทองสุข กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องเขื่อนปากแบงมาโดยตลอด รู้สึกตกใจและเสียใจที่ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ตนเป็นตัวแทนชุมชนร่วมติดตามแต่ไม่ได้รับข่าวสารจากภาครัฐอย่างใด แม้แต่ทางลาวก็ไม่รู้เลยว่าน้ำเท้อถึงไหน หากท่วมถึงระดับ 340 เมตร (เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง) คงท่วมหมู่บ้านและที่ทำกินเยอะมาก เราจึงเรียกร้องมาตลอดว่าต้องมีความชัดเจน ระดมความคิดเรื่อยมา แต่หน่วยงานรัฐไม่ให้ความสนใจเลย หมู่บ้านมีกว่า 200 ครอบครัว มีอาชีพหาปลา หากน้ำท่วมเหมือนที่คาดไว้ จะทำให้อาชีพต่างๆของชาวบ้านหายไปหมด วิถีชีวิต่างๆ และสิ่งแวดล้อมความเสียหายตราบจนชั่วลูกหลาน ได้แต่ฝากนายวิโรจน์และรัฐบาล ช่วยดูเรื่องผลกระทบข้ามพรมแดนด้วย
ด้านนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือร่วมกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า ได้เสนอข้อกังวลเรื่องการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวของเขื่อนปากแบง และกระบวนการที่มาของการเกิดเขื่อนปากแบง ซึ่งอาจเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประชาชนลุ่มแม่น้ำโขง รวมไปถึงราคาค่าไฟฟ้าที่สูงไป จึงมีข้อเสนอให้มีการยืดและทบทวนการเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าของเขื่อนปากแบงออกไปก่อน ซึ่งนายพีระพันธุ์ ตอบรับว่าจะนำเรื่องนี้ไปคิด และรับไปพิจารณาต่อ
นายศุภโชติ กล่าวว่า ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องราคาค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าความจำเป็น และสูงกว่าราคาในตลาดโลกของโรงไฟฟ้าที่ใกล้เคียงกัน และในรายงานของการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มีคนได้รับผลกระทบ มีการทำ Public Hearings จริง แต่ไม่ได้นำผลกระทบมาตัดสินใจ ส่วนการกำหนดระยะเวลาให้กับรัฐบาลในการจัดการเรื่องนี้นั้น พรรคก้าวไกลไม่ได้ขีดเส้นใต้ไว้ แต่เป็นปัญหาที่เร่งด่วนของประชาชน ที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ และแก้ไขสำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้น มีผลการศึกษาหลายอย่างที่นำมาใช้ตัดสินใจ และนำเสนอแนะต่อรัฐมนตรี เช่น การเกิดภาวะน้ำเท้อ ทำให้ระดับแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้น การเก็บสาหร่ายของชาวบ้านในพื้นที่หายไปริมน้ำโขง จ.เชียงราย รวมไปถึงอำนาจอธิปไตยชายแดนไทย และลาว ที่อาจจะมีปัญหากันได้
นายศุภโชติ ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มีการเสนอให้ทางพรรคก้าวไกลเขียนแผนดำเนินงาน ตนเองและพรรคก้าวไกลจึงมีแผนลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และจะนำมาประชุมเพื่อเสนอเป็นแผนงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลที่ต้องเชิญนายศุภโชติมาหารือ หลังยื่นกระทู้ถามสดเรื่องพลังงานในสภาว่า เนื่องจาก สส.ได้ยื่นกระทู้ถามสด ซึ่งตนไม่รู้ตัวมาก่อน เนื่องจากติดภารกิจที่นัดไว้แล้ว จึงได้เชิญมาคุยกันในวันนี้ เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์กับประชาชน เพื่อให้เขามีโอกาสที่ถามว่ามีข้อห่วงใยอะไร หรือมีข้อเสนอแนะอะไร ซึ่ง สส.ทั้ง 3 คนที่มาวันนี้มีข้อห่วงใยตรงกับตนพอดี และกำลังทำในสิ่งที่เป็นแนวทางแบบเดียวกับที่ สส.เสนอ ซึ่งการหารือเป็นไปได้ด้วยดี






