เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 มีความคืบหน้ากรณีที่ชาวอูรักลาโว้ยบนเกาะหลีเป๊ะร้องเรียนเรื่องถูกปิดเส้นทางลงชายหาดและทางเดินเข้าสู่โรงเรียนของเด็กนักเรียนถูกเอกชนสร้างประตูปิดกั้น จนทำให้เส้นทางดั้งเดิมที่ชาวเลใช้กันมานับร้อยปีไม่สามารถผ่านได้ และรัฐบาลชุดที่แล้วแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) เป็นประธาน ตั้งแต่เมื่อปลายปี 2565 แต่การตรวจสอบยังไม่แล้วเสร็จเนื่องจากมีความซับซ้อนเกี่ยวกับเอกสารสิทธิในที่ดิน จนกระทั่งรัฐบาลชุดที่แล้วหมดวาระ
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ล่าสุดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เตรียมลงนามในคำสั่งให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ที่มีบิ๊กโจ๊กเป็นประธาน ทำหน้าที่ต่อไปได้ เนื่องจากเห็นว่าคณะกรรมการชุดนี้ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆคืบหน้าไปมากแล้วโดยเฉพาะการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ไม่ถูกต้อง
ข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการประชุมคณะกรรมการตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดิน ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลฯที่มีบิ๊กโจ๊กเป็นประธานเห็นว่าที่ดินแปลงที่ 11 บนเกาะหลีเป๊ะออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ดังนั้นอธิบดีกรมที่ดินจึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบโดยมีผู้ตรวจราชการกรมที่ดินเป็นประธาน ทั้งนี้ได้เชิญกรมแผนที่ทหาร ผู้แทนกรมอุทยานฯและผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ร่วมแสดงหลักฐานและชี้แจง ซึ่งในที่สุดเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการตามมาตรา 61 เห็นควรให้เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวและจะเสนอให้อธิบดีกรมที่ดินลงนามเห็นชอบ
ทั้งนี้กรมที่ดินได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2566 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฏหมายที่ดินเพื่อดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐานให้ได้ความว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 11 หมู่ 7 ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล โดยระบุตอนหนึ่งในคำสั่งนี้ว่า น.ส.3 ฉบับนี้บางส่วนได้ออกทับที่ดินที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนบ้านเกาะอาดังซึ่งนางแบอ๊ะ หาญทะเล ได้อุทิศให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนฯโดยส่งมอบการครอบครองและโรงเรียนเข้าไปทำประโยชน์ก่อนการออก น.ส.3ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นที่ราชพัสดุและเป็นที่ดินที่ไม่สามารถออก น.ส.3 ได้ โดยปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของดีเอสไอ กรมอุทยานฯที่ระบุว่าตำแหน่งที่ดินข้างเคียงไม่สอดคล้องสัมพันธ์กัน มีการแจ้งระยะที่เพิ่มขึ้น มีเนื้อที่ครอบครองเกินหลักฐาน ส.ค.1 และจากการตรวจสอบปรากฏว่าในการรังวัดออก น.ส.3 ไม่ปฎิบัติตามระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ
“ผลการอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศเมื่อ พ.ศ.2493 พบว่าที่ดินตามหลักฐาน ส.ค.1 เลขที่ 11 มีการทำประโยชน์ไม่เต็มแปลง พื้นที่บางส่วนยังมีสภาพเป็นป่าชายหาด ป่าดิบชื้นและทุ่งหญ้าธรรมชาติ ประกอบกับปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลจังหวัดสตูลเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 สรุปว่านางแบอ๊ะ และนางดารา อังโชติพันธุ์ ไม่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินตามที่ขอออก น.ส.3 แปลงที่ 11 แต่เป็นชาวอูรักลาโว้ยครอบครองทำประโยชน์ และมีโรงเรียนฯเป็นสาธารณะประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในที่ดิน น.ส.3 แปลงที่ 11 หนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง”ข้อความบางส่วนในคำสั่งดังกล่าวระบุไว้
สำหรับที่ดินแปลงที่ 11 บนเกาะหลีเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของชุมชนชาวเล โดยมีเส้นทางที่เด็กนักเรียนใช้เดินไปโรงเรียน และมีถนนสำหรับลงชายหาดซึ่งเป็นถนนแห่งท้ายๆที่เป็นเส้นทางสาธารณะสำหรับลงชายหาด เนื่องจากเส้นทางเดิมในอดีตถูกเอกชนที่สร้างโรงแรมหรือรีสอร์ทสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวสร้างทับเส้นทางรอบเกาะจนเกือบหมดสิ้น ทำให้ชาวเลแทบไม่เหลือเส้นทางเดินลงทะเลเพื่อดูแลเรือประมงในฤดูมรสุม ดังนั้นการเพิกถอนเอกสารสิทธิในครั้งนี้จะทำให้เส้นทางดั้งเดิมของชาวเลและเด็กนักเรียนได้กลับคืนมา